Can't find it? here! find it

Saturday, April 26, 2008

How to revange ghost (comady)

1.Do not sleep on the 2nd floor of the condominium bed. Let it sleep up there
2.If you afraid Ju-on come to you by airducts. Open the windows let Krasue(Thai ghost )
thread him it
3. If you afraid light is on-off by itself. Put the bright off, And do the same thing with the sink by open it all night also.
4.If you smell the incense ,Then put the Satandam perfume on your body before you go to bed.
5.If you hear Classic song(or, ancient song, country etc.) by no reason. Get some MP3 ,or IPOD
to make it conflicts.
6.If you hear kids laugh, or sighting at night. get up and motivative them
7.If you've seen something walk passed the window, then make your self dark and standby the windows. Receipt it!
8.If you afraid someone going to stand in front of your bed.Then sleep at the oppersite path.
9.If ghost asking you to bless it. Ask it which church,temple,or which graveyard can i depot to? which branches? And Do you accept Credit card?
10.If they giving you the winning lottery code. Ask it back by..........Do you want anymore suppression,Dim sun, And anything else?, See you next time(7eleven's courtesy word)
11.If they come back to their home. Tell them to go to the construction building government
and make assignment that they going to live there as the "LAW !!!"
12.If you are not English people to other foreigner.If you come to Thailand and go to Pattaya Don't forget talking dictionary no!!!! D
ictionary, Because you may see GI ghost or Guawa(foreigner) sometime.
13.If you open TV and saw pit(the ring movie) in front of you. put it in front of window.
If the situation at 3rd floor,
14.If you bath and blood come out from the pipe.take it carefully and sale to hospital.
15.If you watch the mirror and it become ghost. Do not surprise. Take some marker pen
and publish in to the mirror
16.If you don;t want it to go into your cab board. Write the word "Dog house"
17.If you afraid your can't move while you sleep. turn your body into bad. take a gas mask.
So you won't afraid,pain because you have someone to massage your body right now!!!!!!
18.If you afraid ghost in the lift. Take someone or something really really heavy into the lift. So it's won't following you, because the lift shall say........overload
!9.If you took photo and become shutter(Thai horror movie) see something look like human(ghost) which is not your buddy. Cut it face to make photoshop! So it may not come back
It's must be better don't make it lesbian gay or somthing like that, or you going to buy the blue receiver for sure.
S0.If someone like stranger call you on the street. and if you complain that he is ghost or not. Ask the bill check 1st be4 it gone.
S1.If you see someone come in front of your car's mirror go to gas station and clean it up fast·

XXII.If you see someone behind your car seat!!!!??? Ask it Do you wanna go to Patpong or prostitute places right sir?


If you can do it at all no one or nothing dare to thread you

Tuesday, April 22, 2008

ไสยศาสตร์มีจริง! รัสเซียเชื่อ "อาถรรพ์นักบินหญิง" ทำ "โซยุซ" ตกพลาดเป้า


เจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินที่รอต้อนรับการกลับมาของลูกเรือยานโซยุซต่างกำลังวิ่งวุ่นตรวจสอบจุดตกของโซยุซ อีกด้านหนึ่งก็ช่วยเหลือดูและเหล่านักบิน หลังจากที่โซยุซตกแบบพุ่งดิ่งและไกลจากจุดเดิมถึง 420 กิโลเมตร ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องระดมกำลังพร้อมเฮลิคอปเตอร์ออกตามหาโซยุซและช่วยเหลือนักบินเป็นการด่วน



เจ้าหน้าที่ขององค์การอวกาศรัสเซียขณะนำเฮลิคอปเตอร์ไปช่วยเหลือเหล่านักบินทั้ง 3 นาย ที่ตกลงมาพร้อมยานโซยุซแบบพุ่งดิ่งและไกลจากจุดที่กำหนดไว้ถึง 420 กิโลเมตร

เจ้าหน้าที่กำลังช่วยกันพยุง ยี โซ-ยีออน (เสื้อน้ำเงิน) หลังจากเดินทางกลับโลกสุดระทึกแบบพุ่งดิ่งพร้อมกับยานโซยุซและเพื่อนนักบินอีก 2 นาย แต่ทุกคนล้วนปลอดภัยดี

ยี โซ-ยีออน ขณะอยู่บนเฮลิคอปเตอร์ โดยมีแพทย์อยู่ห้อมล้อมและกำลังช่วยกันดูและ พร้อมกับตรวจสุขภาพร่างกายให้แก่นักบินหญิงผู้นี้

เป็กกี ไวท์สัน นักบินหญิงชาวสหรัฐฯ ที่ร่วมเดินทางกลับโลกพร้อมกับโซยุซในครั้งนี้ด้วย ทำให้เที่ยวบินขากลับนี้มีลูกเรือหญิงถึง 2 คน ขณะที่ลูกเรือชายมีเพียงคนเดียว ทำให้ผู้บริหารองค์การอวกาศรัสเซียอดหวั่นใจไม่ได้ว่าเหตุการณ์ที่โซยุซตกลงมาแบบผิดปกตินี้เป็นเพราะแรงอาถรรพ์ของนักบินหญิง

เอพี/เอเยนซี - ไม่น่าเชื่อ! มหาอำนาจผู้นำโลกสู่ยุคอวกาศอย่าง "รัสเซีย" จะเชื่อว่า "อาถรรพ์" มีจริง หลังโซยุซทำเสียว พา 3 มนุษย์อวกาศพุ่งดิ่งกลับโลกแบบสุดระทึก ต้องเผชิญแรง 10 จี กว่า 3 ชั่วโมง หัวหน้าองค์การอวกาศหมีขาวเผยเพราะมีนักบินหญิงมากกว่าชาย เป็นเหตุโซยุซเกือบหวิดดับโหม่งโลก แถมเลยไปไกลกว่าจุดที่กำหนดกว่า 400 กิโลฯ ลั่นบินคราวหน้าต้องแน่ใจว่านักบินหญิงไม่มากกว่าชาย

เมื่อวันที่ 19 เม.ย.51 ที่ผ่านมา ยานอวกาศโซยุซ (Soyuz) ของรัสเซียทำเสียวเป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 5 ปี หลังจากที่นำ "ยี โซ-ยีออน" (Yi So-yeon) นักบินอวกาศคนแรกของเกาหลีใต้ พร้อมด้วยเพื่อนนักบินอีก 2 นาย คือ เป็กกี ไวท์สัน (Peggy Whitson) ชาวสหรัฐอเมริกา และยูริ มาเลนเชนโค (Yuri Malenchenko) ชาวรัสเซีย กลับสู่โลกอย่างระทึกขวัญ ด้วยการตกสู่พื้นโลกแบบพุ่งดิ่งดุจขีปนาวุธ แทนที่จะค่อยๆ ลดระดับลงในแนวทแยงอย่างที่ควรจะเป็นและปลอดภัยกว่า

วาเลอรี ลินดิน (Valery Lyndin) โฆษกประจำภารกิจ เผยว่า การเดินทางกลับโลกของยานโซยุซในครั้งนี้เกิดความผิดพลาดไปจากเดิม เนื่องจากจุดที่ยานตกลงมาในประเทศคาซัคสถานนั้นอยู่ห่างจากตำแหน่งเดิมที่กำหนดไว้ในเมืองอาร์คาลาค (Arkalyk) ถึง 420 กิโลเมตร และยานก็ร่อนลงจอดช้ากว่ากำหนดเวลาเดิมถึง 20 นาที ทำให้เจ้าหน้าที่ของรัสเซียต้องใช้เฮลิคอปเตอร์เดินทางออกจากจุดนัดหมายเดิมไปกว่า 25 นาที ในการค้นหาตำแหน่งที่โซยุซลงจอด และเพื่อช่วยเหลือลูกเรือทั้ง 3 นาย

อีกทั้งขณะเดินทางกลับเข้าสู่โลก ยานโซยุซยังตกลงมาแบบพุ่งดิ่งราวกับขีปนาวุธ (ballistic re-entry) ซึ่งที่จริงควรจะค่อยๆ ตกลงมาในแนวทแยงตามวิถีปกติของยานที่ควรจะเป็น ซึ่งการตกแบบพุ่งดิ่งนี้ส่งผลให้ยานและนักบินที่อยู่ในยานต้องเผชิญกับแรงดึงดูดที่มากกว่าแรงโน้มถ่วงบนพื้นโลกถึง 10 เท่า (10g) ตลอด 3 ชั่วโมงครึ่งของการเดินทางกลับเข้าสู่โลกของโซยุซ

อย่างไรก็ดีการตกลักษณะนี้ของโซยุซอาจทำให้เกิดอันตรายแก่นักบินและตัวยานได้ แต่ก็โชคดีที่ทั้งโซยุซสามารถร่อนลงจอดได้อย่างเรียบร้อย และนักบินทุกนายก็ล้วนปลอดภัยดี แม้ว่าไวท์สันจะมีอาการอ่อนเพลียมากกว่าใครเพื่อน

ระหว่างที่นักบินทั้ง 3 นาย เดินทางด้วยเฮลิคอปเตอร์เพื่อกลับไปพักผ่อนยังเมืองกุสตาไน (Kustanai) ยี โซ-ยีออนก็สัปหงกตลอดการเดินทาง แต่เมื่อถึงที่พัก เธอก็ได้รับการตรวจสุขภาพและวัดความดัน และหลังจากได้จิบน้ำชาร้อนๆ มนุษย์อวกาศคนแรกของเกาหลีใต้ก็เริ่มยิ้มได้อย่างสดชื่นอีกครั้ง

"แม้ว่ามันจะเป็นสถานที่แคบๆ แต่คุณก็สามารถลอยไปลอยมา อยู่ด้านบนหรือด้านล่างคนอื่นๆ ได้" ยี โซ-ยีออน กล่าวแก่สื่อมวลชนอย่างยิ้มแย้ม ถึงประสบการณ์ไร้แรงโน้มถ่วงของเธอบนสถานีอวกาศนานาชาติที่เพิ่งผ่านมาสดๆ ร้อนๆ

เวลาเดียวกันที่ประเทศเกาหลีใต้ ประชาชนชาวโสมขาวหลายร้อยคนที่มารวมตัวกันที่โอลิมปิกพาร์คในกรุงโซล (Seoul's Olympic Park) เพื่อร่วมลุ้นและต้อนรับการกลับสู่โลกของยี โซ-ยีออน ผ่านโทรทัศน์จอยักษ์ที่รายงานสดจากคาซัคสถาน ซึ่งในนั้นมีมารดาของยี โซ-ยีออน รวมอยู่ด้วย และทุกคนก็ปลื้มปิติเมื่อทราบข่าวว่านักบินอวกาศคนแรกของเกาหลีใต้กลับสู่โลกอย่างสวัสดิภาพ

"ฉันดีใจและมีความสุขอย่างที่สุด ที่เธอกลับมาได้อย่างปลอดภัย ฉันอยากจะเข้าไปกอดเธอและก็บอกกับเธอว่า "ทำได้ดีมาก ลูกแม่" จุง กึม-ซุน (Jung Geum-sun) บอกผ่านสถานีโทรทัศน์เอสบีเอสของเกาหลีใต้

ทั้งนี้ยานโซยุซเคยลงจอดไกลจากจุดเดิม และเผชิญเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกับนี้มาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อเดือน พ.ค. 2546 และนับเป็นครั้งที่ 3 ที่ยานโซยุซตกลงมาแบบพุ่งดิ่ง โดยครั้งที่ 2 นั้นคือเมื่อเดือน ต.ค. 2550 ขณะที่พานักบินอวกาศคนแรกของมาเลยเซียกลับโลก

ด้านอนาโตไล เปอร์มินอฟ (Anatoly Perminov) ผู้บริหารระดับสูงขององค์การอวกาศรัสเซีย (Federal Space Agency) เปิดเผยแก่ผู้สื่อข่าวว่า ความปลอดภัยของนักบินทุกคนถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดแล้ว ซึ่งการลงจอดของยานโซยุซนั้นราบรื่นดี เพียงแต่ว่าเกิดความผิดปกติในขณะร่อนลงจอด ซึ่งก็ได้มอบหมายให้วิศวกรดำเนินการตรวจสอบหาสาเหตุแล้วว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร

อย่างไรก็ตาม เปอร์มินอฟก็ออกเสียงทำนองตำหนิลูกเรือทั้ง 3 ว่า ทางศูนย์ควบคุมไม่ได้รับแจ้งจากนักบินก่อนหน้านั้นเลย ว่าเกิดความผิดปกติยานลดระดับกลับสู่โลก

ยิ่งไปกว่านั้น ผู้บริหารระดับสูงขององค์การอวกาศรัสเซียยังกล่าวอ้างถึงความเชื่อในการเดินเรือที่มีมาแต่โบราณด้วยว่า หากมีสตรีเพศร่วมเดินทางด้วย มักจะนำพาโชคร้ายมาสู่การเดินทาง ซึ่งเขาก็เชื่อว่าเหตุร้ายของยานโซยุซในครั้งนี้ อาจเกี่ยวเนื่องกับลูกเรือที่เป็นหญิงถึง 2 คนด้วย

"คุณรู้ไหมว่า ในรัสเซียนี่ถือเป็นลางร้ายเลยทีเดียว แต่เราก็ขอบคุณพระเจ้าที่ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี" เปอร์มินอฟบอก และย้ำว่าเที่ยวบินในอนาคตพวกเขาจะต้องแน่ใจด้วยว่า จำนวนลูกเรือหญิงจะต้องไม่มากไปกว่าลูกเรือชาย

แน่นอนว่าผู้บริหารองค์กาศอวกาศรายนี้จะต้องถูกสื่อถามกลับ ต่อประเด็นนี้ว่าถือเป็นการคุกคามทางเพศหรือไม่ ซึ่งเปอร์มินอฟก็ตอบโต้ว่า นี่ไม่ใช่การคุกคาม แต่เพียงแค่ต้องการบอกว่า เมื่อลูกเรือส่วนใหญ่เป็นหญิง ในบางครั้งอาจเกิดพฤติกรรมที่ไม่สนับสนุน หรือเหตุผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นก็ได้ ซึ่งเปอร์มินอฟก็เลี่ยงที่จะอธิบายอะไรไปมากกว่านั้น

อย่างไรก็ดี รัสเซียถือได้ว่าเป็นชาติมหาอำนาจที่บุกเบิกยุคอวกาศให้แก่มนุษยชาติ ไม่ว่าจะเป็นดาวเทียมดวงแรกหรือมนุษย์อวกาศคนแรกของโลก แต่ในขณะที่เทคโนโลยีอวกาศก้าวไปข้างหน้ามากขึ้นทุกขณะ กระนั้นความเชื่อในเรื่องของที่อธิบายไม่ได้และพิธีกรรมในแบบรัสเซียนก็ยังคงมีอยู่ไม่น้อยลงเลย

ดังจะเห็นได้จากในทุกๆ ครั้งก่อนที่จะถึงกำหนดส่งยานอวกาศเดินทางออกนอกโลก ในคืนสุดท้ายก่อนออกเดินทาง ลูกเรือที่จะเดินทางไปพร้อมกันนั้นจะต้องเข้าพักในโรงแรมนักบินอวกาศ (Cosmonauts Hotel) เช่นเดียวกันทุกคน

ก่อนออกเดินทางจากโรงแรมไปยังฐานปล่อยยาน เหล่าลูกเรือก็จะต้องดื่มแชมเปญคนละ 1 แก้ว พร้อมกับลงชื่อในสมุดเยี่ยมของโรงแรม และขณะที่นักบินก้าวออกจากโรงแรมก็จะมีการเปิดเพลงของวงร็อกโซเวียตที่บรรยายเรื่องราวความฝัน ความหวังในการออกสู่อวกาศและการกลับสู่บ้านอย่างปลอดภัย

ในช่วงระหว่างที่นักบินเดินออกจากโรงแรมก็จะมีนักบวชของนิกายออร์โธด็อกซ์คอยสวดภาวนาให้ และเมื่อขึ้นรถเพื่อเดินทางไปยังจุดปล่อยยาน ระหว่างทางรถจะแวะจอดที่ทะเลสาบ และนักบินทุกคนจะต้องลงจากรถแล้วปัสสาวะลงในทะเลสาบแห่งนั้นตามธรรมเนียม เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าจะต้องได้กลับมา ณ ที่แห่งนี้อีก ซึ่งประเพณีนี้มีมาตั้งแต่สมัยยูริ กาการิน นักบินอวกาศคนแรกของโลกชาวรัสเซีย

แต่จะว่าไปโซยุซก็นับเป็นแคปซูลอวกาศที่นำมนุษย์ออกเดินทางระหว่างโลกและอวกาศ ที่มีอายุการให้บริการยาวนานที่สุดในโลก.


สื่อต่างประเทศตีแผ่วัดพระบาทน้ำพุ
ตะลึงจัดทัวร์พิศดารโชว์ชะตา
กรรมคนตาย-ผู้ป่วยเอดส์ใกล้สิ้นลม งงระดมทุนจากการบอก
บุญนักท่องเที่ยวได้เงินมากมาย ทั้งวัดและเจ้าอาวาส สร้าง
เป็นอาณาจักร แต่เมินซื้อยาประทังชีพเอดส์ให้ผู้ป่วย
แถมระบบบริหารจัดการแย่ ปล่อยคนป่วยอยู่ใน
สภาพแสนอนาถา เผยแม้แต่อาสาสมัครต่าง
ชาติรายสำคัญยังสูญเสียศรัทธา จนต้องโบกมือลา


บทความของ 'Timesonline' จาก The Sunday
Times
ที่เขียนโดยนายแอนดรูว์ มาร์เชลล์
ได้ตีแผ่ประสบการณ์ในการร่วมเดินทางทัวร์วัด
พระบาทน้ำพุ บทความดังกล่าวซึ่งใช้ชื่อว่า
ฤาวัดพระพุทธจะเดินซ้ำรอยวัดแห่งความวิบัติ
ระบุว่า ปัจจุบันวัดพระบาทน้ำพุ เป็นที่รู้กันในฐานะ
สถานดูแลผู้ติดเชื้อเอชไอวี และยังเป็นสถานรับ
เลี้ยงเด็กพิเศษ สถานที่แห่งนี้ถือเป็นอาณาจักร
ที่มั่งคั่งจากเงินบริจาค สร้างโดยพระอลงกต วัย 54
พรรษา ซึ่งเป็นพระสงฆ์ไทยชื่อดัง โดยเริ่มโครง
การดูแลผู้ป่วยโรคเอดส์ตั้งแต่ปี 1992 โดยอาณา
จักรสงฆ์แห่งนี้ แบ่งเป็น 2 ส่วน มีขนาดพื้นที่ครอบคลุม
1,200 เอเคอร์ เป็นสถานที่รับเลี้ยงเด็กกำพร้านับพัน
ชีวิต รวมทั้งเด็กกำพร้าที่ติดเชื้อเอชไอวีจำนวนมาก
โดยวัดพระบาทน้ำพุ มีความหมายถึงการย่ำรอยเท้า
ของพระพุทธเจ้า แต่ชื่อวัดก็ได้กลายเป็นภาพ
ลักษณ์ที่ทำให้พระสงฆ์ในอาณาจักรสงฆ์แห่งนี้สามารถ
เรียกเงินเรี่ยไรได้หลายล้านปอนด์ จากการณรรงค์โฆษณา
กิจกรรมช่วยเหลือผู้ป่วยเอดส์ของวัด ที่มีการติดโปสเตอร์และ
ตั้งกล่องรับบริจาคเงินทั่วประเทศ

นายแอนดรูว์ยังบรรยายต่อไปว่า ในการบริจาคเงินให้แก่อาณา
จักรสงฆ์แห่งนี้ ส่วนใหญ่มาจากนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทย
และชาวตะวันตกที่ศรัทธาต่อกิจกรรมของวัด ขณะที่วัด
ยังได้เปิดกิจกรรมทัวร์ท่องเที่ยววัดด้วยการให้ชมสภาพ
กิจกรรมและชะตากรรมของผู้ป่วยเอดส์ใกล้ตาย
จุดหนึ่งรวมทั้งสิ่งที่เรียกว่า'พิพิธคนเป็น'ซึ่งจะมีทั้งศพ
ของผู้เสียชีวิตในสภาพที่ถูกสตาฟฟ์ร่างเป็นมัมมี่ โดย
ป้ายโฆษณาชวนเชื่อระบุข้อความที่เป็นสัจจธรรมแห่งชีวิต
พร้อมทั้งป้ายบอกอาชีพของผู้ป่วยที่มีหลากหลายเช่น
นักร้อง,หญิงโสเภณี และชายโสเภณีด้วย

สิ่งที่สร้างความตะลึงในการทัวร์ดังกล่าวคือ วัดแห่งนี้
มีเตาเผาศพ 8 เตา และสวนแกะสลักงานศิลปะหยาบ ๆ
ของผู้ป่วยเอดส์ที่ทำจากกระดูกของคนตาย โดยระหว่าง
การทัวร์จะมีหลายขึ้นตอน จุดสุดท้ายจะเป็นการเยือนชม
พระพุทธรูปที่ล้อมรอบด้วยกำแพงถุงทรายที่บรรจุด้วยอัฐ
ของผู้ตายจำนวนหลายพันคน ที่คอยให้ญาติของพวก
เขามารับ จากนั้นสิ่งที่จะตามมาก็คือ นักท่องเที่ยวจะถูก
เรี่ยไรเงินเพื่อขอเงินบริจาคช่วยเหลือวัด



นายแอนดรูว์ระบุว่า สภาพความเป็นอยู่ในอาณาจักรช่วย
เหลือผู้โรคเอดส์นี้ ให้บรรยากาศสุดสลดหดหู่ พร้อมคำ
ถามหลายอย่างในใจ รวมทั้งอาสาสมัครของวัดพระบาท
น้ำพุ ซึ่งต้องช่วยเหลือผู้ป่วยในสภาพตามยถากรรม
จำนวนนี้รวมทั้งนายไมเคิล บาสสาโน่ บาทหลวงจาก
นิวยอร์ก ที่ถือเป็นอาสาสมัครยาวนานที่สุดของวัดแห่งนี้

นายบาสสาโน่เล่าว่า ผู้ป่วยบางคนบ้างเดินทางมายังวัด
แห่งนี้ด้วยความสมัครใจ บ้างก็ถูกทอดทิ้งเหมือนขยะ
ขณะที่เจ้าหน้าที่รายอื่น ๆ ก็ทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วยแต่ใน
สภาพไม่เต็มไม้เต็มมือ โดยวัดต้องปล่อยให้ผู้ป่วยตาย
อย่างอนาถา ซึ่งอาจเป็นคำสอนของวัดนี้ที่อ้างว่า ชีวิต
ในโลกหน้าจะดีกว่าโลกนี้ จำนวนนี้รายหนึ่งยังรวมทั้งชะตากรรม
ของชายป่วยเอดส์ใกล้ตายรายหนึ่งที่กรีดร้องเหมือนสัตว์
โดยเจ้าหน้าที่ต่างมองว่า เขากำลังถูกลงโทษจากบาปในอดีต
ที่เคยเป็นคนเชือดสัตว์มาก่อน เช่นเดียวกับผู้ป่วยเองก็เชื่อ
ว่าการติดเชื้อเอดส์ เป็นคำพิพากษาของกรรม เช่น อดีตวิศวกร
รายหนึ่ง ที่ติดเอดส์โดยบังเอิญจากภรรยา ซี่งเขาเชื่อว่าสา
เหตุที่ตัวเองต้องทำเอดส์ ก็เพราะเคยทำเลวกับภรรยามาเยอะ

นายแอนดรูว์ระบุต่อไปว่า สำหรับสภาพวิถีชีวิตของวัดพระบาท
น้ำพุถือว่าค่อนข้างอัตคัต แต่ละรายจะได้รับเงินเดือนเฉลี่ย
3,500-7,500 บาท ขณะที่เจ้าหน้าที่บางคนซึ่งเคยเป็นอดีต
พยาบาลเปิดเผยว่า เขาทำงาน 12 ชั่วโมงต่อวัน สภาพการ
ทำงานไม่สามารถช่วยเหลือผู้ป่วยอะไรได้มาก จนหลาย
ครั้งรู้สึกท้อแท้ แต่ก็ไม่อยากทิ้งที่นี่ไป เพราะห่วงว่าจะ
ไม่มีใครมาทำงานเช่นนี้แทน

นายแอนดรูว์ระบุว่า วัดแห่งนี้เคยมีแพทย์และพยาบาลอาชีพ
5 คน โดยอาสาสมัครคนสุดท้ายที่ทำงานที่นี่เป็นชาวเบลเยี่ยม
ออกไปเมื่อปี 2004 และเคยเขียนบทความวิจารณ์สภาพการ
บริหารจัดการดูแลผู้ป่วยอย่างแย่ ขาดอุปกรณ์ และเป็นอัน
ตรายต่อสุขภาพ และระบุว่า เจ้าหน้าที่จะมีสภาพเป็นทาส
ส่วนนักท่องเที่ยวก็จะเหมือนกับพวกมนุษย์กินคน ขณะที่พระ
สงฆ์เจ้าของวัดนี้ก็บริหารวัดเหมือนโรงงานแห่งความตาย
เหมือนกิจการของครอบครัว

อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากหนังสือดังกล่าวถูกตีพิมพ์
ปรากฎว่าทางวัดได้ขอให้อาสาสมัครชาวต่างชาติทุกคน
ยกเว้นนายบาสซาโน่ออกไป

รายงานยังระบุว่า สำหรับสภาพของผู้ป่วยนั้น จะได้รับการ
ดูแลอาการจากแพทย์แค่เดือนละครั้ง โดยจะถูกนำร่างไป
ตรวจสภาพในวัดใกล้เคียงในจังหวัดลพบุรี และเมื่อกลับ
หน้าที่ดูแลก็จะตกเป็นของพยาบาลดังกล่าว โดยบางครั้ง
ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ หากเกิดกรณีฉุกเฉินกับผู้ป่วยหลายอื่น ๆ โดยหลายครั้งที่ผู้ป่วยต้องไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล

นอกจากนี้ ผู้ป่วยจำนวนมากยังมีอาการสูญเสีย
ความทรงจำ และต้องอาศัยอยู่ในกรงเหล็กในห้องน้ำ
เพื่อป้องกันอาการคลุ้มคลั่งของพวกเขา โดยรายหนึ่งยัง
ถูกผู้ป่วยรุมทุบตีและปิดปากด้วย อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วย
บางคนเผยด้วยว่า เขาไม่ชอบการทัวร์ลักษณะนี้
เพราะไม่ต้องการเห็นคนอื่นเห็นคนเป็นเอดส์

นายแอนดรูว์บรรยายว่า ในสังคมไทย พระรูปดังๆ
จะมีชื่อเสียงโด่งดังราวนักร้องเพลงร็อค จะได้รับการ
นับหน้าถือตาจากนักการเมืองและคนดังและ
ร่ำรวยด้วยเงินบริจาค

สำหรับพระอลงกต เคยมีประวีติจบการศึกษา
ในออสเตรเลีย และมีแผนจะตั้งโรงงานรีไซเคิลหญ้า
แต่กลับมาเป็นบวชเป็นพระแทน ก่อนจะได้แรงบันดาล
ใจตั้งวัดพระบาทน้ำพุ เพราะครั้งหนึ่งได้สัมผัสกับผู้ป่วย
เอดส์ที่ตายต่อหน้า อย่างไรก็ตาม กิจกรรมปัจจุบันของ
พระอลงกรณ์ยังรวมทั้งการนั่งสนทนากับนักท่องเที่ยว
โดยบางรายยังได้ฉวยเก็บภาพของท่านและพระเครื่อง
เพื่อให้ท่านแจกลายเซ็นและภาวนา แต่บรรยกาศเหล่านี้หลาย
ครั้งถูกทำลายด้วยเสียงเงินบริจาคในกล่องที่มัก
จะว่างเปล่าอยู่เสมอ

รายงานระบุว่า พระอลงกตยังได้ปกป้องกิจกรรม
การทัวร์พิสดารของวัดว่า เพื่อเพิ่มการตระหนักของ
สังคมต่อการช่วยเหลือผู้ป่วยโรคเอดส์ และเพิ่มคุณ
ค่าทางจิตใจของผู้ป่วยเอง โดยผู้ป่วยเหล่านี้จะได้มีโอ
กาสได้พูดคุยกับนักท่องเที่ยว เหมือนมีญาติมาเยี่ยม
ซึ่งนายบาสซาโน่กล่าวว่า ผู้ป่วยมักจะมีจิตใจชีวาเมื่อ
ได้เห็นพระอลงกรณ์มาเยี่ยมพวกเขา แต่ก็นานๆครั้งมาก

ขณะที่พยาบาลรายเดิมเล่าว่า ท่านถึงกับลืมชื่อของเธอ
แม้ว่าเธอจะทำงานที่มาแล้ว 8 ปีก็ตาม อย่างไรก็ตาม
พระอลงกรณ์อ้างด้วยว่า วัดล้มเหลวที่จ้างบุคลากร
เพราะหมอส่วนใหญ่อยากทำงานให้กับโรงพยาบาล
เอกชนที่ให้รายได้ดีกว่าเยอะ และว่าสถานที่แห่งนี้เหมือน
ได้นำความหวังใหม่และการต่อสู้อุปสรรคมาให้ โดย
คนมาตายที่นี่ ก็จะได้รับการเผา คนจิตใจแตกสลาย
หรือถูกปฎิเสธจากครอบครัวมาที่นี่ก็จะได้รับการเลี้ยงดู
ได้ที่พักและเสื้อผ้า พร้อมทั้งบอกว่า สถานที่ทุกแห่งใน
วัดพระบาทน้ำพุกำลังเผชิญกับภาวะด้านการเงิน และ
สงสัยว่าวัดจะอยู่รอดหรือไม่

อย่างไรก็ตาม นายแอนดรูว์ตั้งคำถามว่า เป็นเรื่อง
ยากที่วัดจะอยู่ในสภาพขัดสนเงินทอง เพราะจาก
การเปิดเผยของเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ของวัด
บอกว่า พระอลงกตมีแผนที่จะสร้างศูนย์กีฬา มูลค่า
1.6 ล้านบาท และสลักทางปฎิบัติธรรมขึ้นเขาเป็น
เงินจำนวน 8 ล้านบาท

ขณะที่นายบาสซาโนได้ตั้งคำถามว่า เขาสงสัยว่า
ในเมื่อมีเงินมากมายขนาดนี้ ใครเป็นผู้ได้ประโยชน์
และวัดทำอย่างไรกับการบริหารเงินบริจาคเหล่านี้
แทนที่จะนำเงินมาช่วยเหลือผู้ป่วย ด้วยการซื้อยา
บำบัดรักษาโรคเอดส์ หรือช่วยเหลือเด็ก ๆ ที่ยาก
ไร้ในวัด รวมทั้งรถโรงพยาบาลที่แม้แต่วัดแห่งนี้ยัง
ไม่มี และนี่ยังไม่นับรวมการซื้อเครื่องเล่นยิงลูกฟุต
บอลจากยุโรป มาประดับในวัด ซึ่งหลายคนไม่เข้าใจ
ว่า เพราะเหตุใดมันจึงจำเป็นสำหรับวัดแห่งนี้!

รายงานระบุว่า เป็นเรื่องยากที่จะถามพระเจ้าอาวาสทั่วไป
เรื่องเงินบริจาคโดยไม่มีความรู้สึกเคลือบแคลงในศรัทธา
ซึ่งประเด็นการนำเงินไปใช้จ่ายอย่างไม่เหมาะสม ได้กลาย
เป็นคำขวัญล้อเลียนประเภทว่า'วัดครึ่งหนึ่ง กรรมการครึ่ง
หนึ่ง'แล้วในสังคมไทย ขณะที่วัดพระบาทน้ำพุมีรายได้เฉลี่ย
4-5 ล้านบาทต่อเดือน ไม่รวมโครงการบ้านเด็กกำพร้า

นอกจากนี้ พระอลงกตยังได้รับเงินบริจาคโดยตรงเช่นกัน
แต่ไม่มีการเปิดเผยตัวเลข โดยท่านอ้างว่าไม่ใช่เรื่องที่จะ
ต้องมาเปิดเผยตัวเลขต่อสาธารณชน แต่อ้างว่าทางวัดมีระ
บบทำบัญชีที่ดี โดยพระอลงกตยังได้ขอให้นายแอนดรูว์ไป
หาสำนักงานเลขาฯของวัดเรื่องการใช้จ่ายของวัด ซึ่งเมื่อ
เขาได้ตรวจสอบแล้ว ปรากฎว่าแต่ละคนกลับให้ตัวเลข
ค่าใช้จ่ายที่ไม่ตรงกัน และไม่มีใครสามารถอธิบายได้ว่า
โครงการบ้านเด็กกำพร้าได้รับเงินทุนสนับสนุนอย่างไร

รายงานระบุว่า ครั้งแรกที่พระอลงกตช่วยเหลือผู้ป่วยรายแรก
นั่นเป็นเรื่องของความเห็นอกเห็นใจ แต่จนถึงปัจจุบัน หรือ
16 ปีจากนั้น วัดพระบาทน้ำพุมีนักเที่ยวมาเยี่ยมเยือนกว่า
หลายแสนคน และเงินทุนก็หลั่งไหลเข้ามา จนเหมือนผู้ป่วย
ของวัดจะถูกมองข้าม ขณะที่นายบาสซาโน่ชี้ว่า การเลี้ยง
ไข้ผู้ป่วยดูเหมือนจะเป็นจุดขายของวัดนี้ เพราะหากผู้ป่วย
เข้มแข็งด้วยยารักษาโรคเอดส์แล้ว วัดก็คงจะได้รับเงิน
สนับสนุนน้อยลง ดังนั้น ยารักษาเอดส์สูตร ARV ที่ยัง
คงมีราคาสูง อาจถูกซื้อมาที่นี่ แต่มันก็จะไม่ได้ใช้กับคนไข้

รายงานระบุว่า ปัจจุบันนายบาสซาโน่ได้ลาออกจาก
การเป็นอาสาสมัครของวัดพระบาทน้ำพุแล้ว
เพราะที่ผ่านมาเขาต้องทำงานด้านการแพทย์ที่ไม่มีการ
รับรองอย่างถูกกฎหมาย โดยไม่มีใบรับรองให้ผลิตยา
ในเมืองไทย อย่างไรก็๋ตาม เขายังคงวิจารณ์วัดพระบาท
น้ำพุว่าขาดพื้นยารักษาโรคพื้นฐาน และอุปกรณ์การแพทย์
แม้ว่าวัดจะมีเงินจำนวนไม่น้อยก็ตาม

10 reason of the Alexander's glory

พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช เป็นอีก 1 บุคคลในประวัติศาสตร์ที่โด่งดังมาก
มีภาพยนตร์เกี่ยวกับพระองค์ออกมามากมาย และชื่อเสียงของพระองค์ก็เป็น
ที่รู้จักทั่วโลก คิดว่าท่านเป็นบุคคลที่ทรงคุณค่ามาก และมีชีวิตที่น่าสนใจสุดๆ
พอเข้าไปเห็นหัวข้อ 10 เหตุผลที่อเล็กซานเดอร์มหาราชเป็นอย่างทุกวันนี้ ใน
เว็บไซต์ Livescience ก็สนใจเข้าไปอ่านทันที และแปลมาให้น้องๆ ได้อ่านกัน
อีกต่อด้วย จะได้รู้จักพระองค์มากขึ้นไงละ

10 ปรัชญาแบบอริสโตเติล
จะมีบุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนไหนที่โชคดีพอจะได้นักปรัชญาที่มีชื่อเสียง
ที่สุดคนหนึ่งของโลก อย่าง “อริสโตเติล” มาเป็นติวเตอร์ส่วนตัว ใช่แล้ว
อเล็กซานเดอร์นั่นเอง เมื่ออายุได้ 13 ปี พระองค์ก็เริ่มเรียนหลักปรัชญา
กับนักปราชญ์คนนี้แล้ว และอริสโตเติลยังเพิ่มหลักสูตรดีๆ อย่างภูมิศาสตร์
การเมือง การทหาร และการแพทย์ให้พระองค์อีกด้วย อย่างนี้จะไม่เก่งยังไงไหวเนี่ย

9 ม้าชื่อ Bucephalus
พ่อของอเล็กซานเดอร์ซื้อม้าตัวนี้ให้กับพระองค์ และตั้งชื่อมันว่า
บูเซฟาลุส (Bucephalus) ม้าตัวนี้มีราคาถึง 13 ทาเล้นท์ (1 ทาเล้นท์ใน
สมัยนั้นเท่ากับทองคำ 27 กิโลกรัม) และมันก็พยศอย่างน่ากลัวชนิด
ที่ไม่มีใครจับตัวมันได้ ตามคำบอกเล่าทางประวัติศาสตร์บอกไว้ว่าเมื่อ
เห็นบูเซฟาลุส อเล็กซานเดอร์เรียนรู้ทันทีว่าการพยศของมันเกิดขึ้น
เพราะมันตระหนกกับเงาของตัวเอง (แปลกดีเนอะ) พระองค์จึงขี่มัน
ตรงไปที่ดวงตะวัน เพื่อให้เงาของมันตกไปอยู่ทางด้านหลังตัว (มันจะ
ได้มองไม่เห็นนี่เอง ฉลาดจริงๆ) เมื่อพระเจ้าฟิลิป พระบิดาเห็นเข้า ก็ตรัส
ออกมาว่า “อเล็กซานเดอร์ เจ้าคงต้องหาอาณาจักรที่ใหญ่เท่ากับความ
ทะเยอทะยานของเจ้าเสียแล้ว ข้าเกรงว่าอาณาจักรมาซีโดเนียคงจะเล็ก
เกินไปสำหรับเจ้า” ว่ากันว่าเจ้าม้าบูเซฟาลุสได้ออกเดินทางร่วมรบเคียง
ข้างอเล็กซานเดอร์จวบจนวาระสุดท้ายของมัน ซึ่งมันตายลงเพราะร่วมรบ
ในสงครามปากีสถาน และสัตว์ที่มันต่อสู้ด้วยในครั้งนั้นก็คือ ช้าง

8 ความเด็ดขาดที่มาพร้อมความโหดร้าย
พระเจ้าฟิลิป พระบิดาของอเล็กซานเดอร์ ถูกลอบสังหารจากคนสนิท
ของพระองค์เอง ในงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่งานหนึ่ง ซึ่งอเล็กซานเดอร์
ถูกมองว่าเกี่ยวข้องกับการปลงพระชนม์ในครั้งนั้นด้วยก็จริง แต่พระองค์
ไม่สนใจคำครหา แต่มุ่งมั่นกับการต่อสู้กับศัตรู และยังแนะนำให้พระมารดา
พระนางโอลิมปิอัส (Olympias) ประหารชีวิตทารกชายคนล่าสุดที่เกิดจาก
พระเจ้าฟิลิป และนางสนมอีกด้วย อเล็กซานเดอร์ต้องเผชิญกับการต่อต้าน
จากเมืองต่างๆ เป็นเวลาถึงสองปีเต็ม และอย่างไร้ความเมตตาปรานีใดๆ
พระองค์จัดการสังหารผู้คนกว่า 30,000 คนที่ต่อต้านพระองค์ พวกที่รอด
ชีวิตก็ถูกจับตัวเป็นทาส การทำเช่นนี้เท่ากับเป็นการ “เชือดไก่ให้ลิงดู”
และทำให้พระองค์สามารถกุมอำนาจสูงสุดไว้ได้ (แบบโหดๆ เนอะ)

7 “Phalanx” สไตล์การรบที่เพอร์เฟ็คท์ของกองทัพมาซีโดเนียน
แผนการรบที่เรียกได้ว่ามีชื่อเสียงที่สุดของชาวมาซีโดเนียน เรียกกันว่า
“Phalanx” สร้างขึ้นโดยพระเจ้าฟิลิป การรบนี้ใช้ทหารแบบ 16*16 ยืนรวม
ตัวกัน ทุกคนถือโล่ และ Sarisses ซึ่งก็คือ หอกที่มีความยาวถึง 20 ฟุต
ทำจากไม้คอร์เนล แถวหลังของกองทัพจะถือหอกชี้ขึ้นฟ้า ส่วนแถวหน้า
ชี้หอกไปทางด้านหน้า และเมื่อเคลื่อนตัว กองทัพจะเคลื่อนไปพร้อมๆ กัน
ไม่มีแตกแถว ซึ่งนอกจากสไตล์การรบแบบ “Phalanx” อเล็กซานเดอร์ได้เพิ่ม
วิธีการรบ อย่างการใช้ไฟ นักธนู และการรบบนหลังม้า และด้วยสไตล์การรบ
ที่เด่นเป็นเอกลักษณ์เช่นนี้ ทำให้กองทหารของพระองค์ยิ่งใหญ่เหนือใคร
ที่สำคัญคือตามปกติแล้ว ชาวมาซีโดเนียนจะหยุดรบในช่วงเก็บเกี่ยว แต่อเล็ก
ซานเดอร์ทรงจ่ายเงินพวกทหารให้รบอย่างเต็มเวลา และนั่นทำให้กองทหาร
ของพระองค์ต้องผ่านการฝึกปรืออย่างเข้มงวด และกลายเป็นมืออาชีพด้าน
การรบยิ่งกว่าทหารจากดินแดนใด

6 การเดินทางผ่าน Hellespont
หลังจากครอบครองมาซีโดเนีย และกรีซ อเล็กซานเดอร์เริ่มมอง
การณ์ไกลถึงการครอบครองเอเชีย และจักรวรรดิเปอร์เซียน ซึ่งขณะนั้น
ปกครองโดยพระเจ้าดาเรียสที่สาม (Darius III) อเล็กซานเดอร์พร้อมด้วย
ทหารม้าชาวกรีก 5,000 คน และทหารเดินทัพ 32,000 คน บุกเข้าสู่เปอร์เซีย
และข้ามช่องแคบที่คั่นระหว่างยุโรปและเอเชีย ที่มีชื่อว่า Hellespont (ตอนนี้เรียก
กันว่า Dardanelles) และจากเรือพระที่นั่ง อเล็กซานเดอร์ขว้างหอกของพระ
องค์ลงสู่ชายหาด ทันทีที่พระบาทของพระองค์แตะผืนดิน พระองค์ดึงหอกนั้น
ออกจากทราย และประกาศว่านี่คือดินแดนที่พระองค์จะต้องเอาชนะด้วยหอกด้ามนี้

5 ผู้แก้ปมกอร์ดิอุส
จากการบอกเล่าของพวก Phrygians ซึ่งตอนนี้อาศัยอยู่ในตอนกลาง
ของประเทศตุรกี พวกเขามีตำนานซึ่งพยากรณ์โดยนักพยากรณ์ชื่อดัง
ที่ว่าผู้ที่จะเป็นกษัตริย์ก็คือชายคนแรกที่นั่งเกวียนเข้ามาในเมือง และบุค
คลผู้นี้ก็คือ กอร์ดิอุส (Gordius) ชาวนาผู้ยากจน หลังการสถาปนา กอร์ดิอุส
ได้อุทิศเกวียนที่เขานั่งมาแก่เทพเจ้าซีอุส และผูกมันไว้กับเสาด้านนอกวัด
ศักดิ์สิทธิ์ เชือกที่เขาผูกนั้นเป็นเชือกที่ว่ากันว่าเหนียวแน่นทนนาน และเชื่อกันว่า
ใครที่แก้ปมเชือกได้จะได้ครอบครองเอเชียทั้งทวีป อเล็กซานเดอร์ไม่พลาด
โอกาสนี้อย่างแน่นอน แต่เมื่อพบว่าเชือกนั้นเหนียวแน่นกว่าที่พระองค์คิด
ด้วยความโกรธจัด พระองค์ใช้ดาบตัดมันขาดออกจากกัน พร้อมประกาศว่า
“ข้าคลายปมมันได้แล้ว” ("I have loosed it!") (ก็แหงละ พระองค์ตัดขาด
เลยนี่นา - - “) หลังจากนั้น ปมกอร์ดิอุสได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของ
ปัญหาที่ต้องแก้ไขด้วยวิธีที่รวดเร็วและไม่เน้นกรอบประเพณีนัก

4 เชื่อกันว่าเป็นบุตรแห่งเซอุส
หลังจากเอาชนะพวกเปอร์เซียนได้ในสงคราม Issus อเล็กซานเดอร์ตั้งใจ
จะเดินทางเข้าไปในอียิปต์ ซึ่งเป็นดินแดนที่ปกครองโดยพวกเปอร์เซียนมากว่า
200 ปี ชาวอียิปต์ต้องจ่ายภาษีอย่างหนัก พวกเขาจึงดีใจมากเมื่ออเล็กซานเดอร์จัด
การพวกเปอร์เซียนได้ และยกย่องพระองค์เป็นฟาโรห์เลยทีเดียว ในช่วงนั้นเอง
วัฒนธรรมของอียิปต์ได้ผสมผสานกับกรีซ และมาซีโดเนียน และดำรงอยู่ต่อ
มากว่า 300 ปี และระหว่างที่อยู่ในอียิปต์ อเล็กซานเดอร์เดินทางข้ามทะเลทราย
เพื่อไปยังแท่นบูชาที่ชื่อ “Zeus Ammon” ว่ากันว่าระหว่างการเดินทาง พระองค์
ได้ผู้นำทางอย่างเหยี่ยว และยังได้รับพรจากสายฝน และที่ Zeus Ammon
วิหารศักดิ์สิทธิ์ของชาวอียิปต์ บรรดานักบวชเชื่อว่าพระองค์เป็นบุตรของเทพ
เจ้าเซอุส และไม่ว่าอเล็กซานเดอร์จะเชื่อเรื่องนี้หรือไม่ หรือพระองค์จะเป็น
บุตรของเทพเจ้าจริงๆ หรือเปล่า ความเชื่อนี้ก็ทำให้เขาได้รับความเคารพนับ
ถือจากชาวอียิปต์อย่างล้นหลามเลยทีเดียว

3 เมืองอเล็กซานเดรีย
นอกจากจะทำให้เมืองมาร์ซีโดเนียเจริญรุ่งเรืองแล้ว อเล็กซานเดอร์ยัง
ได้สร้างเมืองใหม่อีกกว่า 20 เมือง และตั้งชื่อเมืองเหล่านี้ตามชื่อของ
พระองค์ และ 1 ในเมืองที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือ “อเล็กซานเดรีย” เมือง
ที่อยู่บนชายฝั่งแม่น้ำไนล์ อเล็กซานเดอร์ได้พัฒนาเมืองจนกลายเป็น
เมืองแห่งอารยธรรม และกลายเป็นเมืองใหญ่ที่ใครๆ ก็รู้จัก นอกจากนี้
พระองค์ยังสร้างท่าเรือ โรงเรียน โรงละคร และห้องสมุดที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
และที่พระองค์ทำได้ดีที่สุดคือ แม้ว่าอเล็กซานเดรีย ซึ่งเป็นเมืองของ
อียิปต์ จะได้ชื่อว่าปกครองโดยกรีก แต่อเล็กซานเดอร์อนุญาตให้พวกเขา
รักษาวัฒนธรรมของตัวเองไว้ได้ เรียกว่าเป็นการถนอมน้ำใจสินะ

2 เอาชนะพวกเปอร์เซียน
หลังจากยึดครองอียิปต์ได้แล้ว อเล็กซานเดอร์เริ่มไล่ล่าจักรพรรดิเปอร์เซียน
Darius III ในการรบครั้งใหญ่ Darius III พร้อมด้วยทหารสองแสนนาย พร้อม
อาวุธครบมือเผชิญหน้ากับ กองทัพของอเล็กซานเดอร์ ซึ่งมีนายทหารเพียง
47,000 คน แต่อย่างไม่น่าเชื่อ อเล็กซานเดอร์บุกฝ่าเข้าสู่ใจกลางกลุ่ม และ
รบตัวต่อตัวกับ Darius III ซึ่งในที่สุดได้หลบหนีจากหลังม้า หนีไปพร้อมคนสนิท
(ซึ่งภายหลังหักหลังและลอบสังหารพระองค์) หลังจากได้ชัยชนะเหนือเปอร์เซียน
อเล็กซานเดอร์กลายเป็นกษัตริย์ผู้มีอำนาจเหนือทวีปเอเชียพระองค์ทรงยึด
เมืองหลวงของเปอร์เซีย “บาบิโลน” และปกครองด้วยหลักการของพระองค์เอง
หลังจากนั้น พระองค์ได้ซึมซับวัฒนธรรมเปอร์เซียน และอภิเษกสมรสกับนาง
รำชาวเปอร์เซียนชื่อโรซานน์ การกระทำของพระองค์เป็นสิ่งที่แปลกมากสำหรับ
ผู้ชนะสงคราม และทำให้ทั่วโลกได้เรียนรู้การปรานีต่อผู้แพ้

1 เข้าสู่อินเดีย
เป้าหมายที่อเล็กซานเดอร์ต้องการไปต่อคือเข้าสู่อินเดีย และเอาชนะ
ยึดครองดินแดนแห่งนี้ กษัตริย์พอร์รัส แห่งอินเดีย ใกล้จะพ่ายแพ้ต่อ
อเล็กซานเดอร์แล้ว แต่อากาศ และภูมิประเทศแบบภูเขาทำให้พระ
องค์ชะงักการรบ และเริ่มตระหนักว่าการยึดครองเอเชียท่าทาง
จะไม่ง่ายอย่างที่พระองค์คิด เสียแล้ว ทหารของพระองค์เหน็ดเหนื่อย
และต้องการจะเดินทางกลับประเทศ เพื่อพบกับความสุขที่ไม่เคยมีมา
ยาวนาน ในที่สุด อเล็กซานเดอร์ก็ยอมแพ้ต่อทหารของพระองค์เอง
และเดินทางกลับประเทศ อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจที่จะเดินทางกลับเ
ปอร์เซียด้วยทิศทางใหม่เป็นการตัดสินใจผิดที่สุดของพระองค์ ทหารกว่า
15,000 นายต้องเสียชีวิตที่ทะเลทราย Gedrosan ทะเลทรายที่ร้อนที่สุด
แห่งหนึ่งของโลก การเดินทางครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของอเล็กซาน
เดอร์เช่นกัน ในที่สุด พระองค์ทรงป่วยหนัก และเสียชีวิตในอีกไม่กี่วันต่อมา
เมื่ออายุเพียง 33 ปีเท่านั้น

แต่แม้ว่าพระองค์จะไม่สามารถพิชิตทวีปเอเชียได้สำเร็จ
ความยิ่งใหญ่ของพระองค์ก็ตราตรึงอยู่ในใจของคนทั่วโลก

10 reason of the Alexander's glory

พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช เป็นอีก 1 บุคคลในประวัติศาสตร์ที่โด่งดังมาก
มีภาพยนตร์เกี่ยวกับพระองค์ออกมามากมาย และชื่อเสียงของพระองค์ก็เป็น
ที่รู้จักทั่วโลก คิดว่าท่านเป็นบุคคลที่ทรงคุณค่ามาก และมีชีวิตที่น่าสนใจสุดๆ
พอเข้าไปเห็นหัวข้อ 10 เหตุผลที่อเล็กซานเดอร์มหาราชเป็นอย่างทุกวันนี้ ใน
เว็บไซต์ Livescience ก็สนใจเข้าไปอ่านทันที และแปลมาให้น้องๆ ได้อ่านกัน
อีกต่อด้วย จะได้รู้จักพระองค์มากขึ้นไงละ

10 ปรัชญาแบบอริสโตเติล
จะมีบุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนไหนที่โชคดีพอจะได้นักปรัชญาที่มีชื่อเสียง
ที่สุดคนหนึ่งของโลก อย่าง “อริสโตเติล” มาเป็นติวเตอร์ส่วนตัว ใช่แล้ว
อเล็กซานเดอร์นั่นเอง เมื่ออายุได้ 13 ปี พระองค์ก็เริ่มเรียนหลักปรัชญา
กับนักปราชญ์คนนี้แล้ว และอริสโตเติลยังเพิ่มหลักสูตรดีๆ อย่างภูมิศาสตร์
การเมือง การทหาร และการแพทย์ให้พระองค์อีกด้วย อย่างนี้จะไม่เก่งยังไงไหวเนี่ย

9 ม้าชื่อ Bucephalus
พ่อของอเล็กซานเดอร์ซื้อม้าตัวนี้ให้กับพระองค์ และตั้งชื่อมันว่า
บูเซฟาลุส (Bucephalus) ม้าตัวนี้มีราคาถึง 13 ทาเล้นท์ (1 ทาเล้นท์ใน
สมัยนั้นเท่ากับทองคำ 27 กิโลกรัม) และมันก็พยศอย่างน่ากลัวชนิด
ที่ไม่มีใครจับตัวมันได้ ตามคำบอกเล่าทางประวัติศาสตร์บอกไว้ว่าเมื่อ
เห็นบูเซฟาลุส อเล็กซานเดอร์เรียนรู้ทันทีว่าการพยศของมันเกิดขึ้น
เพราะมันตระหนกกับเงาของตัวเอง (แปลกดีเนอะ) พระองค์จึงขี่มัน
ตรงไปที่ดวงตะวัน เพื่อให้เงาของมันตกไปอยู่ทางด้านหลังตัว (มันจะ
ได้มองไม่เห็นนี่เอง ฉลาดจริงๆ) เมื่อพระเจ้าฟิลิป พระบิดาเห็นเข้า ก็ตรัส
ออกมาว่า “อเล็กซานเดอร์ เจ้าคงต้องหาอาณาจักรที่ใหญ่เท่ากับความ
ทะเยอทะยานของเจ้าเสียแล้ว ข้าเกรงว่าอาณาจักรมาซีโดเนียคงจะเล็ก
เกินไปสำหรับเจ้า” ว่ากันว่าเจ้าม้าบูเซฟาลุสได้ออกเดินทางร่วมรบเคียง
ข้างอเล็กซานเดอร์จวบจนวาระสุดท้ายของมัน ซึ่งมันตายลงเพราะร่วมรบ
ในสงครามปากีสถาน และสัตว์ที่มันต่อสู้ด้วยในครั้งนั้นก็คือ ช้าง

8 ความเด็ดขาดที่มาพร้อมความโหดร้าย
พระเจ้าฟิลิป พระบิดาของอเล็กซานเดอร์ ถูกลอบสังหารจากคนสนิท
ของพระองค์เอง ในงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่งานหนึ่ง ซึ่งอเล็กซานเดอร์
ถูกมองว่าเกี่ยวข้องกับการปลงพระชนม์ในครั้งนั้นด้วยก็จริง แต่พระองค์
ไม่สนใจคำครหา แต่มุ่งมั่นกับการต่อสู้กับศัตรู และยังแนะนำให้พระมารดา
พระนางโอลิมปิอัส (Olympias) ประหารชีวิตทารกชายคนล่าสุดที่เกิดจาก
พระเจ้าฟิลิป และนางสนมอีกด้วย อเล็กซานเดอร์ต้องเผชิญกับการต่อต้าน
จากเมืองต่างๆ เป็นเวลาถึงสองปีเต็ม และอย่างไร้ความเมตตาปรานีใดๆ
พระองค์จัดการสังหารผู้คนกว่า 30,000 คนที่ต่อต้านพระองค์ พวกที่รอด
ชีวิตก็ถูกจับตัวเป็นทาส การทำเช่นนี้เท่ากับเป็นการ “เชือดไก่ให้ลิงดู”
และทำให้พระองค์สามารถกุมอำนาจสูงสุดไว้ได้ (แบบโหดๆ เนอะ)

7 “Phalanx” สไตล์การรบที่เพอร์เฟ็คท์ของกองทัพมาซีโดเนียน
แผนการรบที่เรียกได้ว่ามีชื่อเสียงที่สุดของชาวมาซีโดเนียน เรียกกันว่า
“Phalanx” สร้างขึ้นโดยพระเจ้าฟิลิป การรบนี้ใช้ทหารแบบ 16*16 ยืนรวม
ตัวกัน ทุกคนถือโล่ และ Sarisses ซึ่งก็คือ หอกที่มีความยาวถึง 20 ฟุต
ทำจากไม้คอร์เนล แถวหลังของกองทัพจะถือหอกชี้ขึ้นฟ้า ส่วนแถวหน้า
ชี้หอกไปทางด้านหน้า และเมื่อเคลื่อนตัว กองทัพจะเคลื่อนไปพร้อมๆ กัน
ไม่มีแตกแถว ซึ่งนอกจากสไตล์การรบแบบ “Phalanx” อเล็กซานเดอร์ได้เพิ่ม
วิธีการรบ อย่างการใช้ไฟ นักธนู และการรบบนหลังม้า และด้วยสไตล์การรบ
ที่เด่นเป็นเอกลักษณ์เช่นนี้ ทำให้กองทหารของพระองค์ยิ่งใหญ่เหนือใคร
ที่สำคัญคือตามปกติแล้ว ชาวมาซีโดเนียนจะหยุดรบในช่วงเก็บเกี่ยว แต่อเล็ก
ซานเดอร์ทรงจ่ายเงินพวกทหารให้รบอย่างเต็มเวลา และนั่นทำให้กองทหาร
ของพระองค์ต้องผ่านการฝึกปรืออย่างเข้มงวด และกลายเป็นมืออาชีพด้าน
การรบยิ่งกว่าทหารจากดินแดนใด

6 การเดินทางผ่าน Hellespont
หลังจากครอบครองมาซีโดเนีย และกรีซ อเล็กซานเดอร์เริ่มมอง
การณ์ไกลถึงการครอบครองเอเชีย และจักรวรรดิเปอร์เซียน ซึ่งขณะนั้น
ปกครองโดยพระเจ้าดาเรียสที่สาม (Darius III) อเล็กซานเดอร์พร้อมด้วย
ทหารม้าชาวกรีก 5,000 คน และทหารเดินทัพ 32,000 คน บุกเข้าสู่เปอร์เซีย
และข้ามช่องแคบที่คั่นระหว่างยุโรปและเอเชีย ที่มีชื่อว่า Hellespont (ตอนนี้เรียก
กันว่า Dardanelles) และจากเรือพระที่นั่ง อเล็กซานเดอร์ขว้างหอกของพระ
องค์ลงสู่ชายหาด ทันทีที่พระบาทของพระองค์แตะผืนดิน พระองค์ดึงหอกนั้น
ออกจากทราย และประกาศว่านี่คือดินแดนที่พระองค์จะต้องเอาชนะด้วยหอกด้ามนี้

5 ผู้แก้ปมกอร์ดิอุส
จากการบอกเล่าของพวก Phrygians ซึ่งตอนนี้อาศัยอยู่ในตอนกลาง
ของประเทศตุรกี พวกเขามีตำนานซึ่งพยากรณ์โดยนักพยากรณ์ชื่อดัง
ที่ว่าผู้ที่จะเป็นกษัตริย์ก็คือชายคนแรกที่นั่งเกวียนเข้ามาในเมือง และบุค
คลผู้นี้ก็คือ กอร์ดิอุส (Gordius) ชาวนาผู้ยากจน หลังการสถาปนา กอร์ดิอุส
ได้อุทิศเกวียนที่เขานั่งมาแก่เทพเจ้าซีอุส และผูกมันไว้กับเสาด้านนอกวัด
ศักดิ์สิทธิ์ เชือกที่เขาผูกนั้นเป็นเชือกที่ว่ากันว่าเหนียวแน่นทนนาน และเชื่อกันว่า
ใครที่แก้ปมเชือกได้จะได้ครอบครองเอเชียทั้งทวีป อเล็กซานเดอร์ไม่พลาด
โอกาสนี้อย่างแน่นอน แต่เมื่อพบว่าเชือกนั้นเหนียวแน่นกว่าที่พระองค์คิด
ด้วยความโกรธจัด พระองค์ใช้ดาบตัดมันขาดออกจากกัน พร้อมประกาศว่า
“ข้าคลายปมมันได้แล้ว” ("I have loosed it!") (ก็แหงละ พระองค์ตัดขาด
เลยนี่นา - - “) หลังจากนั้น ปมกอร์ดิอุสได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของ
ปัญหาที่ต้องแก้ไขด้วยวิธีที่รวดเร็วและไม่เน้นกรอบประเพณีนัก

4 เชื่อกันว่าเป็นบุตรแห่งเซอุส
หลังจากเอาชนะพวกเปอร์เซียนได้ในสงคราม Issus อเล็กซานเดอร์ตั้งใจ
จะเดินทางเข้าไปในอียิปต์ ซึ่งเป็นดินแดนที่ปกครองโดยพวกเปอร์เซียนมากว่า
200 ปี ชาวอียิปต์ต้องจ่ายภาษีอย่างหนัก พวกเขาจึงดีใจมากเมื่ออเล็กซานเดอร์จัด
การพวกเปอร์เซียนได้ และยกย่องพระองค์เป็นฟาโรห์เลยทีเดียว ในช่วงนั้นเอง
วัฒนธรรมของอียิปต์ได้ผสมผสานกับกรีซ และมาซีโดเนียน และดำรงอยู่ต่อ
มากว่า 300 ปี และระหว่างที่อยู่ในอียิปต์ อเล็กซานเดอร์เดินทางข้ามทะเลทราย
เพื่อไปยังแท่นบูชาที่ชื่อ “Zeus Ammon” ว่ากันว่าระหว่างการเดินทาง พระองค์
ได้ผู้นำทางอย่างเหยี่ยว และยังได้รับพรจากสายฝน และที่ Zeus Ammon
วิหารศักดิ์สิทธิ์ของชาวอียิปต์ บรรดานักบวชเชื่อว่าพระองค์เป็นบุตรของเทพ
เจ้าเซอุส และไม่ว่าอเล็กซานเดอร์จะเชื่อเรื่องนี้หรือไม่ หรือพระองค์จะเป็น
บุตรของเทพเจ้าจริงๆ หรือเปล่า ความเชื่อนี้ก็ทำให้เขาได้รับความเคารพนับ
ถือจากชาวอียิปต์อย่างล้นหลามเลยทีเดียว

3 เมืองอเล็กซานเดรีย
นอกจากจะทำให้เมืองมาร์ซีโดเนียเจริญรุ่งเรืองแล้ว อเล็กซานเดอร์ยัง
ได้สร้างเมืองใหม่อีกกว่า 20 เมือง และตั้งชื่อเมืองเหล่านี้ตามชื่อของ
พระองค์ และ 1 ในเมืองที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือ “อเล็กซานเดรีย” เมือง
ที่อยู่บนชายฝั่งแม่น้ำไนล์ อเล็กซานเดอร์ได้พัฒนาเมืองจนกลายเป็น
เมืองแห่งอารยธรรม และกลายเป็นเมืองใหญ่ที่ใครๆ ก็รู้จัก นอกจากนี้
พระองค์ยังสร้างท่าเรือ โรงเรียน โรงละคร และห้องสมุดที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
และที่พระองค์ทำได้ดีที่สุดคือ แม้ว่าอเล็กซานเดรีย ซึ่งเป็นเมืองของ
อียิปต์ จะได้ชื่อว่าปกครองโดยกรีก แต่อเล็กซานเดอร์อนุญาตให้พวกเขา
รักษาวัฒนธรรมของตัวเองไว้ได้ เรียกว่าเป็นการถนอมน้ำใจสินะ

2 เอาชนะพวกเปอร์เซียน
หลังจากยึดครองอียิปต์ได้แล้ว อเล็กซานเดอร์เริ่มไล่ล่าจักรพรรดิเปอร์เซียน
Darius III ในการรบครั้งใหญ่ Darius III พร้อมด้วยทหารสองแสนนาย พร้อม
อาวุธครบมือเผชิญหน้ากับ กองทัพของอเล็กซานเดอร์ ซึ่งมีนายทหารเพียง
47,000 คน แต่อย่างไม่น่าเชื่อ อเล็กซานเดอร์บุกฝ่าเข้าสู่ใจกลางกลุ่ม และ
รบตัวต่อตัวกับ Darius III ซึ่งในที่สุดได้หลบหนีจากหลังม้า หนีไปพร้อมคนสนิท
(ซึ่งภายหลังหักหลังและลอบสังหารพระองค์) หลังจากได้ชัยชนะเหนือเปอร์เซียน
อเล็กซานเดอร์กลายเป็นกษัตริย์ผู้มีอำนาจเหนือทวีปเอเชียพระองค์ทรงยึด
เมืองหลวงของเปอร์เซีย “บาบิโลน” และปกครองด้วยหลักการของพระองค์เอง
หลังจากนั้น พระองค์ได้ซึมซับวัฒนธรรมเปอร์เซียน และอภิเษกสมรสกับนาง
รำชาวเปอร์เซียนชื่อโรซานน์ การกระทำของพระองค์เป็นสิ่งที่แปลกมากสำหรับ
ผู้ชนะสงคราม และทำให้ทั่วโลกได้เรียนรู้การปรานีต่อผู้แพ้

1 เข้าสู่อินเดีย
เป้าหมายที่อเล็กซานเดอร์ต้องการไปต่อคือเข้าสู่อินเดีย และเอาชนะ
ยึดครองดินแดนแห่งนี้ กษัตริย์พอร์รัส แห่งอินเดีย ใกล้จะพ่ายแพ้ต่อ
อเล็กซานเดอร์แล้ว แต่อากาศ และภูมิประเทศแบบภูเขาทำให้พระ
องค์ชะงักการรบ และเริ่มตระหนักว่าการยึดครองเอเชียท่าทาง
จะไม่ง่ายอย่างที่พระองค์คิด เสียแล้ว ทหารของพระองค์เหน็ดเหนื่อย
และต้องการจะเดินทางกลับประเทศ เพื่อพบกับความสุขที่ไม่เคยมีมา
ยาวนาน ในที่สุด อเล็กซานเดอร์ก็ยอมแพ้ต่อทหารของพระองค์เอง
และเดินทางกลับประเทศ อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจที่จะเดินทางกลับเ
ปอร์เซียด้วยทิศทางใหม่เป็นการตัดสินใจผิดที่สุดของพระองค์ ทหารกว่า
15,000 นายต้องเสียชีวิตที่ทะเลทราย Gedrosan ทะเลทรายที่ร้อนที่สุด
แห่งหนึ่งของโลก การเดินทางครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของอเล็กซาน
เดอร์เช่นกัน ในที่สุด พระองค์ทรงป่วยหนัก และเสียชีวิตในอีกไม่กี่วันต่อมา
เมื่ออายุเพียง 33 ปีเท่านั้น

แต่แม้ว่าพระองค์จะไม่สามารถพิชิตทวีปเอเชียได้สำเร็จ
ความยิ่งใหญ่ของพระองค์ก็ตราตรึงอยู่ในใจของคนทั่วโลก

Sunday, April 20, 2008

ความคิดใหม่ๆ แปลกๆ

ถ้าเรามีความคิดใหม่ๆ แปลกๆที่จะจัดการกับเรื่องของข้าว สร้างกระแสในเรื่องของข้าวให้เกิดขึ้นระดับโลกเหมือนกลุ่มโอเปคเป็นมหาอำนาจน้ำมันของโลกได้ ประเทศไทยก็เป็นมหาอำนาจทางข้าวของโลกได้ วิธีการก็ คือเมื่อน้ำมันแพง กลุ่มโอเปคกลับไม่ผลิตน้ำมันเพิ่ม ทั้งๆที่รู้อยู่ว่าถ้าผลิตเพิ่มก็จะขายเพิ่มได้ พวกเขารู้ว่าถ้าผลิตน้ำมันเพิ่มราคาน้ำมันจะไม่เพิ่มขึ้นหรืออาจจะลดลงด้วยซ้ำ การผลิตน้ำมันให้น้อยกว่าความต้องการจริงๆของตลาดโลกทำให้เกิด Demand มากขึ้นนั่นเอง ตามหลักของ Demand และ Supply นั่นเอง และทำให้เกิดการเก็งกำไรตามมา การเก็งกำไรทำให้ราคาน้ำมันขยับขึ้นไปเป็นทอดๆ ตามการถือครอง Order ล่วงหน้า หรือ การเปลี่ยนมือไปของสินค้าล่วงหน้า ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ ประเทศไทยเราสามารถใช้กลไกของ Demand และ Supply แบบเดีวยกับที่กลุ่มโอเปคใช้กับน้ำมันได้คือ เมื่อข้าวในตลาดโลกแพงประเทศไทยเราก็ขายข้าวในตลาดโลกให้น้อยลงทั้งๆที่ขายได้แต่ก็ไม่ทำ เมื่อประเทศไทยลดการขายข้าวลง 10-20% จากที่เคยขายไปทั้งหมด 50% ของตลาดโลก อะไรจะเกิดขึ้น ราคาข้าวในตลาดโลกก็จะแพงขึ้นกว่านี้ทันที ถามว่า : ถ้าเราไม่ขายข้าวแล้วจะเอาข้าวไปทำอะไร ? เราก็เอาข้าวที่ไม่ขายนั้นโดยฉพาะข้าวที่เกรดต่ำๆหรือพวกปลายข้าวไปผลิตเป็นแอลกฮอล์ก สมมุติว่าต้นทุนของข้าวเกรดต่ำนั้น เช่น ปลายข้าว กิโลละ 12 บาท 2 กิโลไปผลิตเป็นแอลกฮอล์กได้ 1 กิโล แอลกฮอล์กลิตรละ 20 บาท เอาแอลกฮอล์กไปผสมเป็นน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ 91 ราคาขายลิตรละประมาณ 30 บาท แอลกฮอล์กลิตรละ 20 บาทนั้นก็จะมีมูลค่ากลายเป็น ลิตรละ 30 บาทขึ้นมา ก็จะทำให้ต้นทุน 24 บาทนั้นไม่ขาดทุน หรือขาดทุนนิดหน่อยก็ไม่เป็นไร เพราะเราจะไปได้กำไรจากราคาข้าวในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น และไปลดการนำเข้าของน้ำมัน คิดถัวเฉลี่ยแล้วก็ยังน่าจะได้มากกว่าเสียอีก นอกจากนี้เรายังชวนประเทศอื่นที่ผลิตข้าวรายใหญ่ๆมาทำแบบเราด้วย เช่น เวียดนาม อินเดีย เหมือนกลุ่มโอเปคที่รวมตัวกันใช้ราคาน้ำมันเป็นอาวุธในทางเศรษฐกิจ เราก็ใช้ข้าวในทางเศรษฐกิจเป็นอาวุธ และตั้งกลุ่มโอเปคข้าวขึ้นมาแบบเดียวกัน เพราะประเทศเหล่านี้ก็เจอปัญหาเรื่องราคาน้ำมันเช่นเดียวกับเรา และต้องการลดต้นทุนในด้านราคาน้ำมันเหมือนกับเรา ถ้าทำได้เช่นนี้ก็จะทำให้ราคาข้าวในตลาดโลกขยับตาม จี้ราคาน้ำมันไปเรื่อยๆ เช่นอาจถึงกิโลละ 100 บาทก็ได้ ซึ่งขณะนี้น้ำมันได้ขึ้นไปถึงบาเรลล์ละ 112 ดอลลาร์แล้ว มันน่าจะเป็นการลงตัวของเศรษฐกิจโลกไม่ใช่หรือ ที่ประเทศเกษตรกรรมขายผลิตผลทางการเกษตร (ข้าว) ได้แพง และเอาไปซื้อสินค้าอุตสาหกรรม (น้ำมัน) ที่แพงเช่นเดียวกัน ไม่ใช่ว่าเหมือนถูกชกอยู่ข้างเดียว คือขายของที่ผลิตขึ้นมาถูกๆแล้วไปซื้อของแพงๆมาใช้ ถามว่า : เป็นการทำร้ายประชาคมโลกเรื่องอาหารหรือไม่ ? คำตอบ : ไม่ มันเป็นการกระจายรายได้ไปสู่ชนบท สู่ผู้ยากไร้ สู่เกษตรกรมากกว่า และเกษตรกร และชาวโลกผู้ยากจนก็จะหันมาผลิตข้าวออกมาสู้กับน้ำมัน และทุกอย่างจะปรับตัวไปตามธรรมชาติ เกิดความสมดุลขึ้นเอง คนไทย ร่วมภาคภูมิใจกับความสำร็จระดับโลกของคนไทยที่...

ประเทศไทยจะกลายเป็นทะเลทรายเพราะ Double A

> > > ประเทศไทยจะกลายเป็นทะเลทรายเพราะ Double A (ในหลวงทรงเตือนแล้วไม่ฟัง)
> > > เราไม่มีเจตนาที่จะทำลายหรือป้ายสีอะไรในบริษัท Double A ทั้งนั้น
> > > เพียงแต่ต้องการเปิดเผยความจริงแก่ทุกคน
> > > อย่างที่หลายๆคนคงจะเห็นในโฆษณาเชิญชวนให้พี่น้องเกษตรกรหลายคนหันมา
> > > ปลูกต้นกระดาษ Double A โดยอ้างว่าปลูกแล้วจะรวยขึ้นทันตาเห็น
> > > ก่อนอื่นอยากบอกก่อนว่าที่จริงต้นไม้ที่ว่านั้นก็คือ
> > ต้นยูคาลิปตัสที่ได้ทำการดัดแปลงพันธุกรรมแล้วนั่นเอง
> > > เราเป็นนักท่องเที่ยว ที่เพิ่งกลับมาจากแคมป์ปิ้งที่อุทยานแห่งชาติปางสีดา
> > > ตามทิวเขาจะมีต้นไม้ที่ชาวบ้านนิยมปลูกกันมาก
> > > ต้นไม้เหล่านั้นจะเรียงตัวกันเป็นแถวๆดูแล้วสวยงามสูงใหญ่
> > > ภายหลังได้รู้ว่านั่นก็คือไร่ยูคาลิปตัสจากวิทยากรภายในอุทยานนั้น
> > >
> > > ท่านวิทยากรได้พูดให้เราฟังว่า
> > > การนำต้นยูคาลิปตัสหรือต้น Double A มาปลูกนั้นเป็นเรื่องร้ายแรงมาก
> > > ในหลวงท่านก็เคยดำรัสไว้ว่าชาวบ้านไม่ควรน ำต้นเหล่านี้มาปลูก
> > > เพราะมันเป็นพืชต่างถิ่นท่านวิทยากรก็เสริมว่าต้นยูคาเป็นพืชเชิงเดี่ยว
> > > เมื่อปลูก! แล้วจะส่งผลให้พื้นแผ่นดินในบริเวณนั้นแห้งผาก
> > > เนื่องจากมันจะดูดซึมน้ำอย่างรวดเร็วและต้องการน้ำมาก
> > > ทำให้รากของต้นๆหนึ่งอาจยาวได้ถึง 20 เมตรเลยทีเดียว
> > > เมื่อดินบริเวณนั้นถูกดูดน้ำจนหมดผืนดินก็จะกลายเป็นทะเลทรายในที่สุด
> > > ว่าแล้ววิทยากรก็หยิบดินให้เราดูแล้วโปรยลงพื้นมันคือทรายชัดๆ
> > > แทนที่จะเป็นดินในป่าแบบนี้
> > > แล้วเราอยากให้ทุกคนคิดดูถ้ามีการปลูกต้น Double Aเป็นจำนวนมาก
> > > ผู้คนได้ผลกำไรอย่างงอกงามในการทำธุรกิจกับแผ่นดินของชาติ
> > > แต่นานๆไปเล่าจะเกิดอะไรขึ้น !
> > > ผืนแผ่นดินไทยในอนาคตก็มีโอกาสจะกลายเป็นทะเลทรายได้
> > > ไม่ใช่ว่าการปลูกต้นไม้ไม่ใช่เรื่องดีนะคะแต่สำหรับเจ้าต้นยูคานี้
> > > เป็นต้นไม้ที่ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะปลูกในภูมิภาคแบบประเทศไทยเลย
> > >
> ดิฉันเป็นแค่คนตัวเล็กๆไม่มีหน้าที่ใหญ่โตอะไรในวงสังคมไม่มีสิทธิ์ห้ามใครได้
> > > แต่อยากให้ทุกคนช่วย เผยแพร่เรื่องนี้ด้วยนะคะ
> > > เพราะเราคิดว่าในหลวงท่านก็ทรงห่วงเรื่องนี้เหมือนกัน
> > > ขอบคุณค่ะที่อ่านมาจนถึงตอนจบ............