บทความนี้เป็นบทความที่ผมเขียนขึ้นเพราะผมรังเกียจผู้ใหญ่หรือรุ่นพี่บางคน หรือบางกลุ่ม(ไม่ได้เขียนด่าใครนะครับแค่แสดงความคิดเห็น)ที่ชอบรังแกรุ่น น้องและเยาวชน หนังเรื่องนี้คือตัวอย่างตัวอย่างหนึ่งที่ผมบอกได้เลยว่าผมเกลียดผู้ใหญ่ที่ ทำตัวแบบนี้ที่สุด
ผู้ใหญ่บางคนชอบพูดจาถือดี ทำตัวเก่งอย่างนู่นเก่งอย่างนี้ทั้งๆที่เขาก็เลี้ยงลูกด้วยนมเหมือนๆกับ เยาวชน รู้ว่าเคยเห็นอะไรๆมาก็มากแต่บางคนก็พูดจาเลอะเทอะ ชอบใช้อำนาจบังคับคนรุ่นหลังๆ ให้มาทำสงคราม ทำงานเยี่ยงสัตว์เหมือนที่คนบางคนพูดใว้นานมากแล้วว่า "Old men declare war, Young men go to war."คนแก่ประกาศสงคราม คนหนุ่มไปตาย
Battle Royale (2000)เกมส์นรก โรงเรียนพันธุ์โหด
ในกระบวนนักทำหนังชาติต่างๆแล้ว คงไม่มีชาติไหนมีจินตนาการในการทำหนังได้แปลกประหลาดไปยิ่งกว่า หนังของชาวลูกญี่ปุ่นไปอีกแล้ว
โดยเฉพาะ battle royale หนังนี้มีแต่ฉากรุนแรง เซ็กซ์ และโรคจิตนรก
แบบว่าแค่เนื้อเรื่องของหนังนั้นเริ่มต้นหลายคนก็คงรับไม่ได้แล้ว
ณ . สาธารณะรัฐอิสระ พ.ศ. 2xxx สาธารณะรัฐอิสระ(แต่ธงมันปักโต้งๆ ว่าเป็นญี่ปุ่น) ต้องพบกับวิกฤตการณ์ ประชากรล้นประเทศ...
ทำ ให้เหล่าผู้มีอิทธิพลของสาธารณะรัฐอิสระ ได้ออกกฎหมายต่างๆขึ้นมา เพื่อควบคุมจำนวนประชากร ใช้รหัสทางการทหารว่า.…Battle Royal…
โดยแต่ละปีจะมีการสุ่มนักเรียน ม.ปลาย จากทั่วทั้งญี่ปุ่นจำนวน หนึ่งห้อง มาเข้าร่วมโปรแกรมนี้... หลักง่ายๆของโปรแกรมนี้ก็คือ
ให้นักเรียนห้องนั้น “ฆ่ากันเอง” จนกว่าจะเหลือผู้รอดชีวิตคนสุดท้ายอาวรมย์Last man standingว่างั้น
เพราะเล่นจับเด็กนักเรียนม.ปลาย ปี2 ห้อง 6 ชาย 22 คนหญิง 20 คน จำนวน 42 คน ไปปล่อยเกาะ แล้วแจกอาวุธให้
สอน ให้รู้จักเอาตัวรอดด้วยการฆ่าเพื่อนเพื่อการอยู่รอดของตัวเอง เพราะทุกคนจะถูกสวมปลอกคอ โดยทุกหนึ่งชั่วโมงถ้าไม่ฆ่าใครหรือยังเหลือผู้รอดชีวิตมากกว่าหนึ่งคนปลอกคอจะระเบิดจนทุกคนต้องตายหมดนี้แค่ใน หนังนะ การ์ตูนต้นตำรับเรื่องนี้โหดกว่านี้อีกมีฉากเซ็กซ์และฆ่า สมองระเบิดอย่างกับวุ้น นักเรียนถูกยิงจนพรุนฯลฯ เรื่องดังมากจนนำไปสร้างเวอร์ชั่นต่างประเทศ
ตัวอย่างอีกตัวอย่างหนึ่งที่ทำการ์ตูนออกมาได้แบบเสียดสีสังคมผู้ใหญ่ที่บ้าอำนาจได้ดีเช่น
การ์ตูนเรื่องนี้เขียนโดย โทรุ ฟูจิซาวะ
มีชื่อเสียงโด่งดังมากในช่วงเวลา1999-2001 การ์ตูนที่เขียนออกมาแหวกแนวตลกของอาจารย์ที่เคยเป็น
นักเลงใหญ่ที่สุดใน โชนัน เปลี่ยนมาเป็นอาจารย์สอบห้องที่มีปัญหามากที่สุดม.3 ห้อง 4 ในร.ร. มัธยมแห่งหนึ่ง และถ้าดูดีๆแล้วการ์ตูนเรื่องนี้หนังสือการ์ตูนนั้นเขียนออกมาในแนวเสียดสี ผู้ใหญ่ค่อนข้างชัดเจน
และอีกหลายๆเรื่องที่ผมกำลังจะทำขึ้นมานำเสนอให้นะครับ






อี นิกมาเป็นเครื่องเข้ารหัสข้อมูลที่เยอรมันใช้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เยอรมันสื่อสารข้อมูลทางวิทยุเป็นหลัก เพื่อความสะดวกรวดเร็ว ข้อมูลที่ส่งทางวิทยุนั้นเป็นสื่อสาธารณะที่ใครๆ ก็ได้ยินได้ เยอรมันจึงจำเป็นจะต้องแปลงข้อมูลเหล่านั้นด้วยอีนิกมาให้อยู่ในรูปที่อ่าน ไม่รู้เรื่องก่อน อีนิกมาเป็นรหัสลึกลับน่าสนเท่ห์อย่างชื่อ และเป็นเครื่องมือที่เยอรมันมั่นใจอย่างเหลือเกินว่าจะไม่มีใครทำลายได้ สำเร็จ เรามารู้จักว่าอีนิกมาทำงานอย่างไร และทำไมเยอรมันจึงได้เชื่อมั่นในเครื่องมือนี้ถึงขนาดนี้



ประวัติศาสตร์นักสู้ซามูไรเริ่มขึ้นในศตวรรษที่ 11 เมื่อรัฐบาลอ่อนแอ ชาวบ้านตลอดจนขุนนางญี่ปุ่น จึงหันไปพึ่งพาผู้มีฝีมือในเชิงยุทธที่ขนานนามกันว่า "ซามูไร" จากนั้นมาซามูไรก็รุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ "โชกุน" อัครมหาเสนาบดี และ "ไดเมียว" เจ้าผู้ครองนครต่างๆ ของญี่ปุ่น ต่างก็มีซามูไรเป็นกองทัพไว้ประดับบารมี
ซามูไรที่เก่งกาจนั้นต้องมีดาบชั้นดีไว้ ครอบครองครับ เช่น ดาบที่ผลิตจากสำนักตีดาบมีระดับ เช่น ติมบะ โนะ กามิ โยชิมิชิ (ค.ศ.1565-1635) หรือสำนักของ อิโนอูเอะ ชินกาอิ (ราว ค.ศ.1674)
ในปี ค.ศ.1551 หนุ่มนักสู้วัย 20 ปี นาม โอดะ โนบูนางะ ขึ้นเป็นไดเมียว ครองนครเล็กๆ โอวาริ ใกล้กับเมืองนาโงยาในปัจจุบัน เขาได้สร้างวีรกรรม ที่ทำให้ญี่ปุ่นทั้งประเทศตื่นตะลึง นั่นคือสามารถใช้ นักรบเพียง 3,000 คน ยืนหยัดต่อสู้ และพิชิตกองทัพขนาด 25,000 คน ของ อิมะงาวะ ซึ่งเป็นไดเมียว นครใหญ่
ปืนนั้นเป็นอาวุธระยะไกล สามารถสังหารข้าศึกได้แบบไม่ทันได้รู้ตัว ในอมตะวรรณกรรม "ผู้ชนะสิบทิศ" ของ "ยาขอบ" เมื่อ บุเรงนอง จอมทัพพม่า ได้เห็นอานุภาพของปืนเป็นครั้งแรก ก็ยังทรงรำพึงอย่างรันทดพระทัยว่า ต่อแต่นี้ไปคงจะไม่ได้เห็นภาพการต่อสู้ด้วยดาบ หรือทวนอย่างห้าวหาญสมกับเป็นนักรบอีกแล้ว
ในปี 1571 โนบูนางะ ยกกำลังทัพ 30,000 คน ไปล้อมวัดซากาโมโตบนเขาฮิเออิทาง เหนือของเกียวโต วัดนี้เป็นวัดศักดิ์สิทธิ์ที่สุดทั้งของผู้นับถือพุทธและชินโต แต่พระภิกษุในวัดปฏิเสธไม่ยอมอ่อนน้อม และอพยพชาวบ้านลูกเล็กเด็กแดงทั้งหลาย เข้ามาหลบไว้ภายในวัด 
ดี แต่ว่าพระจักรพรรดิทรงเห็นว่า วัดใหญ่และสำคัญแห่งนี้จะไม่รอดพ้นความพินาศ จึงยื่นพระหัตถ์มาไกล่เกลี่ย โดยให้โนบูนางะครอบครองโอซากาได้ และภิกษุในวัดฮอนงันจิก็ยังปฏิบัติธรรมต่อไปอย่างอิสระได้เช่นกัน ซึ่งพระท่านก็ยินดีที่ไม่เสียหน้าต้องยอมแพ้
นอกจากนี้ โนบูนางะ ยังเสริมสร้างความแข็งแรง ในด้านเศรษฐกิจ และค้าขายให้กับญี่ปุ่น ด้านการทหาร ก็มีทหารม้าชั้นดีถึง 20,000 นาย
จุด จบของผู้ที่สยบนักรบซามูไรได้อย่างราบคาบ ช่างน่าเศร้าเสียนี่กระไร หรือเป็น ผลกรรมตามสนองจากการที่เขาได้เข่นฆ่าอย่างทารุณ ต่อสมณะนักสู้ในพระพุทธศาสนา... หรือซามูไรรุ่นสุดท้ายนั้นเอง
http://www.artsmen.net/content/show.php?Category=mythboard&No=4306
อันคำว่า "โรบ็อท" นี้มีกำเนิดมาจากนักเขียนบทละครชาวเชโก-สโลวะเกีย นามว่า คาเรล คาเพ็ก (Karel Capek) เขาได้แต่งละครเรื่องหนึ่งขึ้นในปี ค.ศ.1920 ในชื่อ "โรบ็อทของรอสซั่ม (Rossum's Universal Robots)" เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับหุ่นยนต์ที่ลักษณะคล้ายมนุษย์ ซึ่งเขาขนานนามมันว่า โรโบตา (ROBOTA) แปลว่า กรรมกรผู้ทำงานหนัก และพอละครเรื่องนี้ไปแสดงที่กรุงลอนดอนในปี ค.ศ.1923 คำว่าโรบ็อทในภาษาอังกฤษก็แพร่สะพัดตั้งแต่นั้นมา
แต่อันที่จริง มนุษย์ได้มีการประดิษฐ์ อุปกรณ์ที่เคลื่อนไหวได้มาแต่ครั้งดึกดำบรรพ์แล้วครับ โดยชาวกรีกเรียกมันว่า ออโตมาตา (automata) ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า "อัตโนมัติ" นั่นเอง
ออโตมาตาที่โด่งดังต่อมาในศตวรรษที่ 18 ก็คือ "นักเป่าขลุ่ย (FLAUTIS)" สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1783 โดยวิศวกรฝรั่งเศสชื่อ Jacques de Vaucanson หุ่นยนต์ของเขาสามารถเป่าขลุ่ย ออกมาได้ถึง 12 เพลง อย่างไพเราะ โดยมีการขยับนิ้วมือที่ทำด้วยไม้และมี "ปอดเทียม" ด้วย บรรเลงได้ดีจนบางคนเชื่อมั่นว่าต้องมีนักดนตรี ตัวจริงแอบแฝงอยู่ภายในเครื่องแน่ๆ
และในเวลาไล่เลี่ยกันนั้น คือ ปี ค.ศ. 1769 นักประดิษฐ์ชาวเยอรมันชื่อ โวล์ฟกัง ฟอน เคมเปเลน ก็ได้สร้างหุ่นยนต์เล่นหมากรุกขึ้น โดยเรียกมันว่า "เดอะเติร์ค (THE TURK)" มันสามารถเล่นหมากรุก สู้กับคนได้แบบ (เดิน) ตาต่อตา แถมยังเก่งกาจเอาชนะ ได้เป็นส่วนใหญ่เสียด้วย หากทว่าแท้ที่จริงแล้วมีนักเล่นหมากรุก มืออาชีพซ่อนตัวอยู่ภายในโต๊ะ และคอยขยับเดินตัวหมาก แหม...แบบนี้ ถือเป็นการหลอกลวง ไม่ใช่ โรบ็อทของแท้แต่อย่างใด
ใน ท่าหมอบ ตะปบทหารอังกฤษที่นอนแผ่หรา พอหมุนก้านยนต์ที่ไหล่ เจ้าเสือมันก็ขยับเคลื่อนไหวพร้อมกับส่งเสียงขู่คำราม ส่วนทหารเคราะห์ร้ายก็ดิ้นรนและร้องโหยหวน ซึ่งเสียงต่างๆ ก็เกิดจากออร์แกน ที่มีการอัดลมเอาไว้นั่นเอง
อย่างเช่น ในช่วง ค.ศ.1615-1865 มีการพัฒนาหุ่นกลนี้ขึ้นหลากหลายใน ญี่ปุ่นเรียกกันว่า คารา คูริ และเจ้าหุ่นกลคาราคุริที่น่าทึ่งที่สุด ก็คือตุ๊กตาสาวเสิร์ฟนํ้าชา โดยเมื่อเจ้าของบ้านวางถ้วยนํ้าชา ลงบนถาดที่เจ้าตุ๊กตาหุ่นถืออยู่ นํ้าหนักของถ้วยจะไปกดกลไกด้านล่าง เจ้าตุ๊กตาหุ่นก็จะเริ่มออกเดินช้าๆ ไปหาแขกผู้มาเยือน เมื่อแขกยกถ้วยนํ้าชาขึ้นจากถาด มันก็จะหยุดอยู่กับที่ พอแขกดื่มแล้วและวางถ้วยคืนบนถาด เจ้าตุ๊กตาจะหมุนตัวกลับ แล้วเดินไปอยู่ที่เดิมของมัน...
อย่างเช่น เจ้าหุ่นของรอสซั่มที่กล่าวมาแล้ว หรือในหนังเงียบเรื่อง "เมโทรโปลิส (Metropolis)" ที่สร้างขึ้นใน ค.ศ.1926 โดยฝีมือผู้กำกับฯ เยอรมันชื่อ ฟริทซ์ แลง มีการใช้หุ่นยนต์ผู้หญิง ซึ่งสามารถเคลื่อนไหวได้ราวกับคนจริงๆ (ใช้เทคนิคถ่ายทำนะครับ เคลื่อนไหวเองไม่ได้) ถือกันว่าเจ้าหุ่นตัวนี้แหละที่เป็นแม่แบบโรบ็อทตัวแรกของโลก
โรบ็อทอีกตัวหนึ่งซึ่งโด่งดังในช่วงปี ค.ศ.1963-1989 อยู่ในหนังทีวีซีรี่ส์ของอังกฤษเรื่อง "Doctor Who" หน้าตาไม่เหมือนคนหรอก แต่เป็นแท่งโลหะที่เลื่อนไปมาได้ในชื่อ เจ้า "ดาเล็คส์"
แต่ สุดยอดโรบ็อทที่มนุษย์ต้องการก็คือ หุ่นยนต์ ที่มีรูปร่างหน้าตาใกล้เคียงกับมนุษย์มากที่สุด เดินได้ หยิบจับอะไรต่ออะไรได้ ถือไม้กวาดและผ้าขี้ริ้วทำความสะอาดบ้านได้เองโดยไม่ต้องสั่ง เรียกว่าทำได้สารพัดอย่าง เช่นเดียวกับผู้ช่วยแม่บ้านชั้นดี ซึ่งขณะนี้ก็ได้มีการพัฒนาโรบ็อทแบบนี้จนถึงระดับหนึ่งแล้ว 

