Can't find it? here! find it

Monday, November 17, 2014

Top 10 Samurai

การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของผู้อื่นอาจไม่มีกฏหมายหรืออะไำรรับรองได้แต่นั่นเป็นสมบัติของคนต่ำ มันสื่อถึงรากง่าวของบิดามารดาทุกท่านที่คิดจะคัดลอกบทความแปลผม หากมีความคิดเห็น ขอขอบคุณที่ทุกท่านมองเห็นและคลิกที่รูปดินสอไต้บรรยาย

10 อันดับเรื่องเกี่ยวกับซามูไร

10 ซามูไรสตรี

ซามูไรนั้นเป็นสิ่งที่เงื่อนไขต้องเป็นผู้ชายเท่านั้นถึงจะเป็นซามูไรได้
แต่ชนชั้นนักรบก็เคยมีการรับผู้หญิงมาฝึกยุทธวิธีแบบเดียวกับผู้ชาย ซึ่งผู้หญิงเหล่านี้จะเรียกกันว่า ออนะ บุเกชา(“Onna-Bugeisha,”) ซึ่งก็รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้ชาย
อาวุธโดยส่วนใหญ๋แล้วจะเป็นง้าว(นางิงาตะ) หลาว และหอก
ซึ่งจริงๆแล้วมีข้อมูลเกี่ยวกับพวกเธอน้อยมาก
 (ซึ่งโดยปรกติแล้วผู้หญิงญี่ปุ่นมักจะเป็นแม่บ้านมากกว่า), ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปรกติในสมัยนั้น
แต่ทว่าจริงๆแล้วผู้หญิงก็มีบทบาทมากไม่แพ้ผู้ชาย
  ซึ่งร่วมการรบบ่อยมากในประวัติศาสตร์(เพิ่มเติมเป็นภาษาอังกฤษ) ซึ่งการค้นพบในสมรภูมิ  Senbon Matsubaru ในปี 1580 ซึ่งมีการขุดพบและทำการทดสอบ DNA  35 ใน 105 ร่างนั้นเป็นผู้หญิง!!!!

9 เกราะ


                           สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดคงจะเป็น เกราะอันหรูหรา ทุกๆแผ่นจะถูกถักขึ้นมาให้มีความคล่องตัวสูงสุด เกราะซามูไรจะไม่เหมือนกับ เกราะของอัศวินยุโรป ซึ่งออกแบบมาให้มีการใช้เพื่อให้เคลื่อนที่ได้ เกราะที่ดีจะต้องได้รับการศึกษา และยืดหยุ่นพอที่คนใส่จะขยับได้อย่างคล่องตัวในสนามรบ เกราะนั้นอาจจะทำจาก แผ่นแลคเกอร์ หนังสัตว์ไม่ก็เหล็ก ซึ่งถูกผูกติดด้วยเชือก หนังไม่ก็ไหม แขนจะถูกปกป้องด้วยแผ่นเหล็กที่ผูกซ้อนกัน และก็ผ้าคลุมแขน มือขวามักจะไม่ใส่กันเพื่อความคล่องตัวสูงสุด
                          สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดบนตัวเกราะคงจะเป็นหมวกนี่เองซึ่งหมวกก็ทำหน้าที่ของมัน ตัวหมวกนั้นสร้างมาจากเหล็กที่ขึ้นรูปและเย็บด้วยหมุด   หน้าและคอหอยก็ถูกปกป้องด้วยหน้ากากที่ทำจากเหล็กบ้างไม้บ้างซึ่งหมวกที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากหมวกซามูไรก็คงหนีไม่พ้น Darth Vader
ซึ่งแรงบันดาลใจที่แท้จริงของหมวกดังกล่าวมันผสมๆกับหมวกซามูไรและหมวกทหารนาซี
ซึ่งมันมีประโยชน์ในการป้องกันศรีษะจากการถูกฟันและถูกยิงด้วยธนูจากแทบทุกมุม  หมวกหลายๆชนิดก็มีการแต่งเติมคุณลักษณะทั่วไป เช่นหนวดเครา หรือเขี้ยว หมายจะทำให้ศัตรูหวาดกลัวและป้องกันหน้า


8 เกย์(รักร่วมเพศ)


                       ไม่คี่อยมีใครรู้เรื่อที่ว่าซามูไรเป็นนักรบที่พร้อมจะเสียบเมื่อถึงวัยอันควร
เหมือนสปาตา และวัฒนธรรมนักรบอื่้นๆ ซามูไรไม่ใช่แค่ยอมรับเรื่องรักร่วมเพศแต่มีการสนับสนุนด้วย
ความสัมพันธุ์นี้มันย่อมเกิดขึ้นจากการฝึกเด็กใหม่ ซึ่งการฝึก wakashudo (“วิถีแห่งเยาว์”),สมาชิกจะต้องถูกทำการฝึกผ่านทุกคน วิถีแห่งเยาว์เป็นสิ่งที่ ไดเมียว(เจ้าผู้ครองแคว้น)จะต้องเผชิญหน้ากับคำถามเจื่อนๆหรือคำถามที่ไม่อยากตอบ ถ้าเขาไม่เคยผ่านจุดนี้มา
                       วิถีแห่งเยาว์เป็นสิ่งพื้นฐานของวิถีแห่งซามูไรประวัติศาสตร์ด้านมืดที่ไม่อยากเปิดเผย

วัฒนธรรมป็อปพรรณาเรื่องซามูไรซึ่งนำพามาโดยผู้กำกับภาพยนต์อากิระ คุโรซาวะและนักแสดงที่เขาใว้ใจ Toshiro Mifune, ซึ่งไม่เคยเปิดเผยเรื่องนี้มาก่อน

7 Western Samurai



                    ใครที่เคยดู The last Samurai อาจจะรู้เรื่องกรณีพิเศษที่ฝรั่งก็ได้เข้าร่วมรบกับซามูไร และได้เกียรติเป็นของตนเองด้วย ซึ่งเป็นเกียรติพิเศษ ซึ่งได้รับอาวุธและ ชื่อญี่ปุ่นด้วย ซึ่งจะต้องถูกประทานโดย เจ้าผู้ครองแคว้นกับโชกุนด้วยตนเองเท่านั้น

                     ในประวัติศาสตร์มีการรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์เกี่ยวกับฝรั่งสี่คน ที่ได้รับการรับรองว่าเป็นซามูไรมีอดีตนักท่องเที่ยว William Adams, อดีตพ่อค้า Jan Joosten van Lodensteijn, เจ้าหน้าที่นายทหารเรือ Eugene Collache,และพ่อค้าปืน Edward Schnell. ซึ่งอาดัมเป็นคนแรกที่ดังมากจนทำเป็นหนังด้วย ทำงานในฐานะ คนเชิญธงและที่ปรึกษาให้กับโชกุนด้วย
ทอม ครูซเล่นเป็น ผู้กองอัลเกรนนั้น มีที่มาจาก Frederick Townsend Ward(อเมริกัน) กับ Jules Brunet(ฝรั่งเศส) 

6 จำนวน


               หลายคนเชื่อว่าซามูไรเป็น หน่วยรบพิเศษ(เหมือนกับเนวีซีลของสหรัฐ กับสเปียซนาซของรัสเซีย) มีจำนวนน้อย จริงๆแล้ว ซามูไร(หรือออกเสียงจริงๆว่าซาบูไร)แปลว่า "ขี้ข้า"เอ้ย "ข้ารับใช้"
ถ้าจะอธิบายคือ พวกนี้เป็นพวกระดับกลางกับระดับสูง

นั่นก็แปลว่า มีเพียบในข้อเท็จจริง จนถึงวันหนึ่งของจุดสูงสุดของอำนาจ ซึ่งมีมากกว่าร้อยละ 10 ของประชากรของญี่ปุ่นเป็นซามูไร


5 แฟชั่น


                        ซามูไรนี่ไม่ปานดาราวงร็อคในสมัยนั้นเลย ซึ่งแฟชั่นของพวกเขาเนี่ยส่งผลกระแสความฮิตเลยเสียด้วย แต่โดยปรกติซามูไรจะไม่แต่งตามใจมากนัก เพราะชุดซามูไรเป็นงานละเอียด
พวกเขาใส่แค่ทำยังไงให้ตัวเองดูเป็นนักรบ
ซามูไรแต่งเร็ว เคลื่อนที่ไว และเดินทางอย่างอิสระ แต่ชุดที่ใช้แพร่หลายมากที่สุดคงจะเป็น "ฮากามะ"และใส้เสื้อกิโมโน "ฮิทาทาเระ" และเสื้อกั๊กทำให้ไหล่ดูใหญ่ ชุดออกแบบมาให้ใส่ง่าย กิโมโนมีใว้กันหนาว รองเท้าไม่เกี๊ยะ ก็รองเท้าแตะสาน
แต่แฟนชั่นที่นิยมมากที่สุดคงจะเป็นทรงผม ใช้อย่างแพร่หลายมาก ยกเว้นพระ(ซึ่งเป็นคนตัด) ซึ่งชาวญี่ปุ่นนิยมตัดทรงนี้มาเป็นร้อยปี ซึ่งทรงนี้มีประโยชน์โดยการใช้แทนหมอนรองหมวกเหล็ก

4อาวุธ


           ในฐานะทหารซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วมักจะพก โชคุโต(chokuto)  ในฐานะดาบมันถูกออกแบบมาให้โค้งในภายหลัง ซึ่งกลายเป็น คาตานะ ในแบบที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกและเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวซามูไรด้วย ดาบคือทุกสิ่งของผู้ใช้ซึ่งจะพกดาบสำรองซึ่งใช้ชื่อว่าไดโช “daisho,” ซึ่งใช้กันอย่างแพร่พลายในชนชั้นซามูไรในขณะที่ซามูไรส่วนใหญ่จะไม่ใช้อย่างอื่นนอกจาก คาตานะ แต่ก็มักจะพกดาบสำรองไปด้วย แต่ดาบนั้นพกพาไปได้ง่ายที่สุดแล้ว อาวุธสำรองมักจะเป็น ยูมิ (ธนู) ซึ่งเขาจะฝึกแบบทุกเมื่อเชื่อวัน หอกก็เป็นอีกหนึ่งอาวุธสำคัญ ซึ่งภายหลังถูกแทนที่ด้วยยุทธวิธีที่พิถีพิถัน
            เมื่อปืนถูกนำมาใช้ในศัตวรรษที่ 16 ซามูไรก็ละทิ้งธนูและหันไปใช้ปืนกับปืนใหญ่ ปืนยิงไกลเป็นทางเลือกตั้งแต่ศึก ทาเกชิมะ ปืนคาบศิลากลายเป็นหนึ่งในอาวุธยอดนิยมในสมัยเดโดะ และปืนกับปืนใหญ่ก็กลายเป็นสิ่งที่ใช้กันอย่างแพร่หลายมากๆ


3 การศึกษา



                   ด้วยอำนาจที่ของขุนนางที่ยิ่งใหญ่ในยุคนั้น ซามูไรจะต้องเป็นมากกว่านักรบ คือนักรบจะต้องอ่านออกเขียนได้ ซึ่งสมัยเดียวกันในยุโรปมีฝรั่งอยู่ไม่กี่คนที่อ่านหนังสือออก  แต่การอ่านออกเขียนได้ของซามูไรจะมีมาตรฐานสูงมาก และพวกเขาก็มีความรู้ทางด้านคณิตศาสตร์ วิถีแห่งนักรบจะต้องผันตนให้มีความรู้ในหลายๆแขนง รวมทั้งความรู้ที่นอกเหนือจากยุทธวิธี
                   ซึ่งก็มีความรู้ในการปั้นดินเผา ศิลปะการวาดรูป เขียนหนังสือหวัด จัดดอกไม้ วรรณกรรม ชงชาก็ต้องเป็น

2ลักษณะทางกายภาพ


                  เกราะกับอาวุธของซามูไรแลดูโอ่อ่าตัวใหญ่น่ากลัว แต่ก็เป็นสิ่งที่ถูกนำมาทำให้ดูดีในวัฒนธรรมป็อบ แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่เบี่ยงเบนตจากความจริงได้มากนัก จริงๆแล้วซามูไรส่วนใหญ่ "เตี้ย" ในศัวรรษที่ 16 ซามูไรส่วนใหญ่จะผอมมาก และสูงประมาณ 160-165 ซ.ม. หรือ 5’3″ - 5’5″   เทียบๆกับแล้วอัศวินยุโรปจะอยู่ประมาณ 180-196 ซ.ม.หรือ 6′-6’5″

แต่ว่าพวกซามูไรชั้นสูงจะไม่ใช่เชื้อชาติบริสุทธิ์มากนัก ส่วนใหญ่พวกซามูไรชั้นสูงมักจะขนดก และผิวขาวกว่ามากๆ ทรงจมูกพวกเขาจะไกล้เคียงฝรั่งมากก็เกราะว่ามีเชื้อสายชาวไอนุ(ชนพื้นเมืองฮกไกโด)อยู่ในตัวนั่นเอง

1 คว้านท้อง



                   สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของโลกซามูไร(และก็แทบจะมีอยู่นักรบชาติเดียวในโลก) คือ เซ็ปปุกุ (หรือการคว้านท้อง ฮาราคิรี)
มันเป็นสิ่งที่ซามูไรจะต้องกระทำหากไม่สามารถทำตามเกียรติที่บูชิโดบัญญัติ หรือหากถูกล้อมด้วยศัตรู
เซ็ปปุกุเป็นสิ่งที่สมัครใจทำหรือการลงโทษ ได้ทั้งสองอย่าง แต่ด้วยค่านิยมแล้วมันคือสิ่งที่ทรงเกียรติที่พึงจะกระทำ หลายๆคนมักจะคุ้นเคยกับการเซ็ปปุกุในสนามรบ  ซึ่งกระทำอย่ารวดเร็วและยุ่งเหยิง
ซึ่งจะทำการคว้านท้องด้วยวากิซาชิ(ดาบสั้น)แทงจากซ้ายไปขวาจนกว่าผู้กระทำจะไส้ไหล  จนถึงจุดนี้เพื่อนซามูไรก็จะตัดศรีษะทันทีด้วยดาบ (หาไม่ความเจ็บปวดนี้จะทำให้ผู้คว้านท้องทรมานมาก
                   การจะเซ็ปปุกุนั้นจะต้องอาบน้ำ ห่มชุดขาวและก็รับประทานอาหารมื้อสุดท้ายหลังจากกินเสร็จ จะต้องเขียนกลอนมรณะ ซึ่งเป็นธรรมเนียมก่อนตาย หลังจากเขียนเสร็จ จับมีด ถกเสื้อ คว้านท้องจากนั้นตัดคอ แต่คนฟันจะต้องแม่นไม่งั้นฉับเดียวไม่ขาด พอขาดจะต้องตกสู่พานที่จัดใว้ ไม่งั้นหัวจะขาดสะบั้น และส่งผลถึงความอัปยศ


Wednesday, June 4, 2014

Laws against Holocaust Thai translation

"รายการดังต่อไปนี้ มีเนื้อหาไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่แยกแยะ โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม"


Laws against Holocaust denial(กฏหมายต่อต้านผู้ปฏิเสธิการสังหารโหด หรือเรียกว่ากฏหมายต่อต้านนาซี)

อ้างอิง ภาษาเยอรมัน http://de.wikipedia.org/wiki/Gesetze_gegen_Holocaustleugnung

หมวดประเทศ Deutschland

อ้างอิง ภาษาอังกฤษhttp://en.wikipedia.org/wiki/Laws_against_Holocaust_denial#Germany

หมวดประเทศ Germany

มารตรา  130

ภาษาเยอรมัน(German)

§ 130 Strafgesetzbuch: Volksverhetzung (1985, Ergänzungen 1992, 2002 und 2005)           (1) Wer in einer Weise, die geeignet ist, den öffentlichen Frieden zu stören, 1. zum Haß gegen Teile der Bevölkerung aufstachelt oder zu Gewalt- oder Willkürmaßnahmen gegen sie auffordert oder 2. die Menschenwürde anderer dadurch angreift, daß er Teile der Bevölkerung beschimpft, böswillig verächtlich macht oder verleumdet, wird mit Freiheitsstrafe von drei Monaten bis zu fünf Jahren bestraft.
           (3) Mit Freiheitsstrafe bis zu fünf Jahren oder mit Geldstrafe wird bestraft, wer eine unter der Herrschaft des Nationalsozialismus begangene Handlung der in § 6 Abs. 1 des Völkerstrafgesetzbuches bezeichneten Art in einer Weise, die geeignet ist, den öffentlichen Frieden zu stören, öffentlich oder in einer Versammlung billigt, leugnet oder verharmlost.
           (4) Mit Freiheitsstrafe bis zu drei Jahren oder mit Geldstrafe wird bestraft, wer öffentlich oder in einer Versammlung den öffentlichen Frieden in einer die Würde der Opfer verletzenden Weise dadurch stört, dass er die nationalsozialistische Gewalt- und Willkürherrschaft billigt, verherrlicht oder rechtfertigt.
ภาษาอังกฤษ(English)
§ 130 Public Incitement (1985, Revised 1992, 2002, 2005) 
(1) Whoever, in a manner that is capable of disturbing the public peace:
          1.incites hatred against segments of the population or calls for violent or arbitrary measures against them; or
          2.assaults the human dignity of others by insulting, maliciously maligning, or defaming segments of the population,
shall be punished with imprisonment from three months to five years.
(3) Whoever publicly or in a meeting approves of, denies or belittles an act committed under the rule of National Socialism of the type indicated in Section 6 subsection
          (1) of the Code of Crimes against International Law, in a manner capable of disturbing the public peace shall be punished with imprisonment for not more than five years or a fine.
(4) Whoever publicly or in a meeting disturbs the public peace in a manner that assaults the human dignity of the victims by approving of, denying or rendering harmless the violent and arbitrary National Socialist rule shall be punished with imprisonment for not more than three years or a fine.
§ 6 Genocide(addition in English reference §130)
(1) Whoever with the intent of destroying as such, in whole or in part, a national, racial, religious or ethnic group:
  1. kills a member of the group,
  2. causes serious bodily or mental harm to a member of the group, especially of the kind referred to in section 226 of the Criminal Code,
  3. inflicts on the group conditions of life calculated to bring about their physical destruction in whole or in part,
  4. imposes measures intended to prevent births within the group,
  5. forcibly transfers a child of the group to another group, shall be punished with imprisonment for life.
 
ภาษาไทย(Thai)
มาตรา 130 การยั่วยุและยุยงในที่สาฐารณะ (1985, แก้กฏหมายเพิ่มเติม 1992, 2002, 2005) 
(1) ผู้ใดที่มีพฤติกรรมที่ส่อแววไปในทางรบกวนสันติสุขในที่สาฐารณชน
         1.สร้างความเกลียดชังในกลุ่มประชาชน หรือ ก่อความรุนแรง หรือ กระทำโดยพลการ หรือ
         2.ทำร้ายฐานันดรศักดิ์โดยการดูถูก เสียดสี ใส่ร้าย หรือ ทำลายชื่อเสียงของ ผู้คน
จะต้องจำคุก 3 เดือน หรือ ถึง 5 ปี 

(3) ผู้ใดที่ที่พิจารณาแล้วว่ามีการรวมกลุ่ม ต่อต้าน ดูถูกดูเเคลน หรือการกระทำที่ส่อไปในทางบทบัญญัติพรรคสังคมนิยมแรงงานแห่งชาติ(นาซี)   หรือพยายามส่อไปในหมวด 6 ข้อวรรคย่อย (1) วลัยลักษณ์อักษรซึ่งส่งผลร้ายต่อกฏหมายนานาชาติ หรือส่อไปในทางก่อความไม่สงบ ต้องระวางจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือต้องโทษปรับ
 
(4) ผู้ใดที่มีการพบปะที่ส่อไปในทางก่อความไม่สงบซึ่งส่งกระทบไปในทาง ทำร้ายฐานันดรศักดิ์หากผู้ถูกกระทำพิสูจแล้วว่ามีการปฏิเสธิ ทำให้แลดูส่อแววไปในทาง ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จไปในตามบทบัญญัติ ของพรรคสังคมนิยมแรงงานแห่งชาติ(นาซี)
 ต้องระวางจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือต้องโทษปรับ

 มาตรา 6 Genocide(เสริมในภาษาอังกฤษ มาตรา 130)
(1) ผู้ใดที่มีเจตนาร้าย ส่อไปในทางทำลายกลุ่มคน เชื้อชาติ
ชาติพันธุ์ ศาสนา และกลุ่มคนและองค์กร 
  1. ฆ่าคนในกลุ่ม
  2. ส่งผลต่อความเจ็บปวดทางร่างกายต่อคนในกลุ่มซึ่งเกี่ยวข้อมกับ หมวด 226 ซึ่งเกี่ยวข้องกับอาชญากรรม
  3. ทำให้บาดเจ็บกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไม่ว่าจะส่วนใดส่วนหนึ่งทั้งหมดของร่างกาย
  4. พยายามทำให้ไม่มีการเกิดบุตรหรือจำกัดประชากรของกลุ่มดังกล่าว
  5. บีบบังคับให้โยกย้ายเยาวชนออกจากกลุ่มไปอีกกลุ่ม ระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต

ภาษาเยอรมัน(German)

§ 189 Strafgesetzbuch: Verunglimpfung des Andenkens Verstorbener (1985, ergänzt 1992)
Wer das Andenken eines Verstorbenen verunglimpft, wird mit Freiheitsstrafe bis zu zwei Jahren oder mit Geldstrafe bestraft.
 ภาษาอังกฤษ(English)
§ 189 Disparagement of the Memory of Deceased Persons (1985, amendments of 1992)
Whoever disparages the memory of a deceased person shall be punished with imprisonment for not more than two years or a fine ภาษาไทย(Thai)
 มาตรา 189 การดูถูกดูหมิ่นเรื่องราวของผู้ล่วงลับในอดีต(1985 และถูกแก้ไขเพิ่มเติมในปี 1992)
 ผู้ใดที่ ดูถูกดูหมิ่นใส่ร้าย ผู้ที่ตายในอดีตจะต้องระวางโทษจำคุก ไม่เกิน 2 ปี หรือต้องโทษปรับ


ภาษาเยอรมัน(German)

§ 194 Strafgesetzbuch: Strafantrag
(1) Die Beleidigung wird nur auf Antrag verfolgt. Ist die Tat durch Verbreiten oder öffentliches Zugänglichmachen einer Schrift (§ 11 Abs. 3), in einer Versammlung oder durch eine Darbietung im Rundfunk begangen, so ist ein Antrag nicht erforderlich, wenn der Verletzte als Angehöriger einer Gruppe unter der nationalsozialistischen oder einer anderen Gewalt- und Willkürherrschaft verfolgt wurde, diese Gruppe Teil der Bevölkerung ist und die Beleidigung mit dieser Verfolgung zusammenhängt. Die Tat kann jedoch nicht von Amts wegen verfolgt werden, wenn der Verletzte widerspricht. Der Widerspruch kann nicht zurückgenommen werden. Stirbt der Verletzte, so gehen das Antragsrecht und das Widerspruchsrecht auf die in § 77 Abs. 2 bezeichneten Angehörigen über.
(2) Ist das Andenken eines Verstorbenen verunglimpft, so steht das Antragsrecht den in § 77 Abs. 2 bezeichneten Angehörigen zu. Ist die Tat durch Verbreiten oder öffentliches Zugänglichmachen einer Schrift (§ 11 Abs. 3), in einer Versammlung oder durch eine Darbietung im Rundfunk begangen, so ist ein Antrag nicht erforderlich, wenn der Verstorbene sein Leben als Opfer der nationalsozialistischen oder einer anderen Gewalt- und Willkürherrschaft verloren hat und die Verunglimpfung damit zusammenhängt. Die Tat kann jedoch nicht von Amts wegen verfolgt werden, wenn ein Antragsberechtigter der Verfolgung widerspricht. Der Widerspruch kann nicht zurückgenommen werden.
 ภาษาอังกฤษ(English) 
§ 194 Application for Criminal Prosecution
(1) An insult shall be prosecuted only upon complaint. If the act was committed through dissemination of writings (Section 11 subsection (3)) or making them publicly accessible in a meeting or through a presentation by radio, then a complaint is not required if the aggrieved party was persecuted as a member of a group under the National Socialist or another rule by force and decree, this group is a part of the population and the insult is connected with this persecution. The act may not, however, be prosecuted ex officio if the aggrieved party objects. When the aggrieved party deceases, the rights of complaint and of objection devolve on the relatives indicated in Section 77 subsection (2). The objection may not be withdrawn.
(2) If the memory of a deceased person has been disparaged, then the relatives indicated in Section 77 subsection (2), are entitled to file a complaint. If the act was committed through dissemination of writings (Section 11 subsection (3)) or making them publicly accessible in a meeting or through a presentation by radio, then a complaint is not required if the deceased person lost his life as a victim of the National Socialist or another rule by force and decree and the disparagement is connected therewith. The act may not, however, be prosecuted ex officio if a person entitled to file a complaint objects. The objection may not be withdrawn.

 ภาษาไทย(Thai)

 มาตรา 194 การยื่นคำร้องหรือร้องขอเพื่อการฟ้องร้องความผิดฐานอาชญากรรม

(1) การดูถูก เหยียดหยาม เพื่อการฟ้องร้องเพื่อการไขข้อข้องใจ ซึ่งเป็นการเผยแพร่ผ่านการเขียนขึ้น
หมวด 11 วรรค 3 ซึ่งทำให้ ซึ่งทำให้สาธารณชนเข้าถึงได้โดยสื่อวิทยุซึ่งทำให้ข้อข้องใจไม่เป็นการทำให้เกิดความเศร้าโศก เสียใจหากกลุ่มดังกล่าวมีการกระทำที่ส่อแววไปในทางพยายามหาสมัครพรรคพวกเข้ากลุ่มพรรคสังคมนิยมแรงงานแห่งชาติ(นาซี) หรือกลุ่มอื่นๆที่มีความคิดส่อไปในทางรุนแรง ไม่ว่าจะใช้วิธีบังคับขู่เข็ญหรือใช้แง่จิตวิทยา หรือพยายามด้วยวิธีทางใดที่พยายามสมัครพรรคพวกเข้ากลุ่ม อย่างไรก็ดี โดยถ้าถูกร้องเรียนว่าเป็นกลุ่มเกี่ยวข้องดังกล่าว
ซึ่งมีลักษณะเข้าข่าย หมวด 77 วรรค 2 ซึ่งไม่อาจเพิกเฉยได้(ต้องโทษสถานเดียวกันกับมาตรา189)
 
(2) หากความทรงจำของผู้ล่วงลับถูกดูหมิ่น หรือเกี่ยวข้องกับ หมวดมที่ 77 วรรค 2  ว่าด้วยการให้สิทธิ์ในการทำสำเนาไปในทางร้องทุกข์หากพฤติกรรมมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องราวในอดีตผ่านการเขียน (หมวด11วรรค3) ซึ่งทำให้สาธารณชนเข้าถึงได้โดยสื่อวิทยุ หากเรื่องราวไม่เกี่ยวข้องกับผู้ล่วงลับที่สูญเสียชีวิตในฐานะบุคคลที่เกี่ยวข้องกับพรรคสังคมนิยมแรงงานแห่งชาติ(นาซี) หรือกฏเกณฑ์อื่นๆ ที่เกิดจากการบังคับหรือทางจิตวิทยาที่มีการดูหมิ่นหรือเกี่ยวข้องกับวิธีดังกล่าวซึ่งไม่อาจเพิกเฉยได้(ต้องโทษสถานเดียวกันกับมาตรา189)

Saturday, May 31, 2014

Top 10 failed tank invention

การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของผู้อื่นอาจไม่มีกฏหมายหรืออะไรรับรองได้แต่นั่นเป็นสมบัติของคนต่ำ มันสื่อถึงรากง่าวของบิดามารดาทุกท่านที่คิดจะคัดลอกบทความแปลผม หากมีความคิดเห็น ขอขอบคุณที่ทุกท่านมองเห็นและคลิกที่รูปดินสอไต้บรรยาย

    นึกถึงวิทยาการทางทหารแล้วล่ะก็ พวกท่านอาจจะนึกถึงสิ่งที่สุดยอดไฮเทคอย่างเช่นจรวดนำวิถี ระเบิดนิวเคลียร์ แว่นมองกลางคืน ฯลฯ อย่างไรก็ดี ก็ไม่มีอะไรสมบูรณ์ไปเสียหมด มีหลายประเทศเหมือนกันที่ทำออกมาแล้วไม่ดีเท่าที่ควร นี่คือ 10 อันดับวิทยาการที่ใช้ไม่ค่อยได้

10. Corkscrew Tank(รถถังสว่าน)

คิดค้นโดยชาวรัสเซียสร้างขึ้นเพื่อที่จะเดินทางในพื้นที่ ทุรกันดาร แต่ด้วยสว่านนั้นทำมาจากแท่งที่กลึงขึ้นมาก็เลยทำให้หนักแบบบรม และวิ่งช้า และขาดความคล่องตัว








9. One-Wheel Tank/Ball Tank(รถถังล้อเดียว)


xlg_monowheel_tank                 รถถังที่คิดค้นในเยอรมัน ออกแบบมาให้ติดปืนด้านข้างและบังคับคนเดียว 
แต่ด้วยทำออกมาเป็นต้นแบบ แต่ถ้าสร้างขึ้นมาก็แทบจะไม่ช่วยอะไรเลย(ช่วยให้ตายเร็วขึ้นเพราะใส่แผ่นป้องกันไม่ได้). การทรงตัวต้องสูง ตอนออกตัวอาจจะเป็นปัญหา(นึกถึงตอนอยู่ในสนามรบ) ล้มง่ายมากๆ แต่สาเหตุที่สร้างก็เพราะมันสร้างได้เร็วที่สุดในสมัยนั้นแล้ครับ

 

 







8. Scooter-mounted Cannon


scooter-mounted-cannon ผลิดโดยชาวฝรั่งเศสใช้ในยุคเวียดนามซึ่งช่วงนั้นฝรั่งเศสประสบปัญหางบน้อย  ซึ่งต้องดัดแปลงทุกอย่างที่มีอยู่
ติดกระสุน 75 ม.ม.  ซึ่งใช้โดยพลร่มฝรั่งเศสซึ่งแน่นอนว่าไม่ดีเนื่องจากไม่มีระบบป้องกันการถูกยิง และเวลายิงก็ไม่ง่ายด้วย











7. Focke-Wulf Triebfluegel    
focke-wulf-triebfluegel
      ตอนแรกก็ไม่มีใครเชื่อว่ามันจะบินได้ด้วยซ้ำ แต่ก็กลายเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีสุดชาญฉลาดที่ถูกลืม ไม่ก็หนึ่งในอาวุธประหลาด   ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เยอรมันพยายามทำเฮลิคอปเตอร์ ซึ่งสามารถลงจอดแบบไม่ต้องใช้รันเวย์ ซึ่งกองทัพนาซีต้องการที่จะทำแบบนั้นโดยการเอาไบพัดย้ายมาอยู่แบบในรูปแล้วก็ใส่เจ็ทใว้ที่ปลายปีกและในที่สุดไปๆมาๆก็ปลายเป็นเครื่องบินที่ลงจอดยากมากๆและหมดประโยชน์ไปในที่สุด


6. Puckle Gun


puckle-gun           ปืนปักเกิลประดิษฐ์โดย เจมส์ปักเกิล ซึ่งเป็นนักเขียนและนักกฏหมายชาวอังกฤษซึ่งพยายามประดืษฐ์ปืนสำหรับป้องกันซึ่งภายหลังเรียกว่าปืน“Puckle Gun.” ปืนนี้ยิงได้ไม่ไกลนัก ออกแบบมาสู้กับพวกนอกรีต ซึ่งมันทำงานของมันไม่ดีนักเนื่องจากใช้หลักการลูกโม่ ยิงได้ 63นักต่อ 7 นาที(ซึ่งบรมช้า) ซึ่งปืนในสมัยเดียวกันปืนคาบศิลาสามารถยิงได้ 3 นัดต่อนาที ซึ่งสมัยนั้นวิทยาการมีขีดจำกัดทำให้โครงการต้องถูกยกเลิกในที่สุด เพราะความสลับซับซ้อนของอาวุธดังกล่าว


5. Cybernetic Walking Machine


cybernetick-walking-machine                   หุ่นยนต์มีขาผมรับประกันได้เลยว่ามีหนังแนวนิยายวิทยาศาสตร์เยอะหลายเรื่องที่เขียนถึงแน่นอน ซึ่งเคยถูกทดสอบในปี 1968 ดีไซน์โดย Ralph Mosher ซึ่งจะช่วยทหารแบกสัมภาระในพื้นที่ๆทุรกันดารซึ่งจะถูกควบคุมโดยเครื่องบังคับวิทยุ ซึ่งมีไฮโดรริก แต่น่าเสียดายที่ไม่เคยถูกส่งไปในสายการผลิตซึ่งต้นแบบนั้นถูกเก็บใว้ที่พิพิธภัณท์ U.S. Army Transportation Museum ในเวอร์จิเนีย
หุ่นตัวนี้แบกน้ำหนักได้ ถึง 3000 ปอนด์และเดินทางได้ 5 กิโล/ชั่วโมง


4. Russian Tsar Tank

russian-tsar-tank       รถถังซาร์แลจะดูเหมือน จักรยานสามล้อมากในปัจจุบัน ซึ่งชาวรัสเซ๊ยเชื่อว่ามันมีประโยชน์ในสงครามมาก(ด้วยความใหญ่โตของมัน) แต่ไม่เคยมีหลักฐานการนำมาใช้ในสงคราม(ผุ้เขียนก็ไม่กล้าขับเหมือนกัน ด้วยความที่มันจะกลายเป็นเป้านิ่งและใหญ่มโหฬารมากในสงคราม) อย่างไรก็ก็ดีล้อที่ใหญ่ออกแบบมาให้ข้ามสนามเพลาะได้ง่าย แต่ด้วยน้ำหนัก ทำให้ล้อหลังจมโคลน ซึ่งบางครั้งมันเกินทำให้2ล้อหน้าทำงานเกินกำลังทำให้วิ่งไม่ออกในที่สุด ซึ่งทดสอบและนำมาใช้จริงในปี 1915  บางคันเดินทางออกจาก มอสโก ได้ไม่ถึง 60 กิโลฯ ก็ต้องพบหายนะ ซึ่งในที่สุดก็กลายเป็นแค่เศษเหล็ก

3. Charles de Gaulle


Gaule96            เรือรบนี้่ไม่ใช่เรือรบเทคโนโลยีใหม่ มันพึงจะเป็นเรือรบบรรทุกเครื่องบิน ซึ่งถูกต่อขึ้นในปี 1986 และหนักถึง 40,000 ตัน ซึ่งเสียเงินต่อมันมากถึง 40 ล้านเหรียญสหรัฐ  และกองเรือฝรั่งเศสเชื่อว่ามันคือสุดยอดเรือรบยุคใหม่ที่ดีที่สุด เพราะเรือลำนี้ขับเคลื่อนด้วยพลังนิวเคลียร์      เรือลำนี้เคลื่อนที่ช้ากว่าที่ควรจะเป็น และการติดตั้งที่ผิดก็ทำให้สุดท้ายปรมาณูรั่วไหล และระบบการป้องกันก็ไม่ดีพอที่จะปกป้องเรือจากการถูกโจมตีได้

2. Rocket Belt(เจ็ทแพ็ค)

Gene_shoemaker_with_rocket_belt                   รุ่นเรา(20+นับในช่วงปี 2532ก่อนกับหลัง)น่าจะเคยได้ยินยูนิทอันมีชื่อเสียงจากเกมส์Red alert 2(กองทัพทลายโลก)   เจ็ทแพ็คเป็นเครื่องไอพ่นที่สะพายอยู่บนหลังที่ใช้เดินทางไปในสถานที่ที่ไกล้ในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งถูกประดิษฐ์ขึ้นในยุค 1960 ซึ่งกลายเป็นที่น่าสนใจในช่วงเวลา 1961 ซึ่งก็ได้รับความสนใจจากประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคเนดี ซึ่งทำให้เขาอยากลองทดสอบมันด้วยตนเองในฐาน แบรกก (Fort Bragg) ซึ่งภายหลังได้ทดสอบมันแล้วก็ไม่เห็นประโยชน์ของมันมากนักด้วยความที่เดินทางได้ไม่ไกลมากนัก ซึ่งเดินทางได้นานสุดเพียง 21 วินาที และระยะเดินทางเพียง 120 เมตรเท่านั้น
ซึ่งก็ถูกส่งเข้ากรุไปเหมือนๆกับเทคโนโลยีในยุคเดียวกัน

1. Flying Aircraft Carrier – USS Macon/USS Akron


USSMaconNYC       เรือเหาะก็ได้ปรากฏในเกมส์ Red alert เหมือนกัน เรือเหาะได้ถูกออกแบบโดยวิศวกรชาวเยอรมัน ในช่วงต้นๆ 1930  โดยด็อกเตอร์ คาร์ล อาร์นสไตน และ โอไฮโอ อัลสไตนซึ่งก็มีผลงานชั้นเยี่ยมจากการดีไซน์เครื่องบินลำแรกที่ติดเครื่องยนต์และถูกส่งขึ้นฟ้าในปี 1933 ซึ่งถูกเรียกว่า   
                USS Macon และรุ่นหลัง  USS Akron(เครื่องบินคู่แฝดรุ่นน้อง) ซึ่งบินขึ้นและทำหน้าที่ของมันได้ดีจนกระทั่งเกิดเหตุไม่คาดฝันทำให้เกิดหายนะ ในช่วง 1934 เนื่องจากบินสูงเกินไปเหนือแอริโซนา       ส่วน USS Maconก็เจอชะตากรรมเดียวกันตกลงสู่พื้น ในวันที่ 12กุมภาพันธุ์ 1935 เนื่องจากการออกแบบที่ผิดพลาดในช่วงพายุเข้า

Monday, March 17, 2014

Nazi in the center of the earth: Review


การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของผู้อื่นอาจไม่มีกฏหมายหรืออะไรรับรองได้แต่นั่นเป็นสมบัติของคนต่ำ มันสื่อถึงรากง่าวของบิดามารดาทุกท่านที่คิดจะคัดลอกบทความแปลผม หากมีความคิดเห็น ขอขอบคุณที่ทุกท่านมองเห็นและคลิกที่รูปดินสอไต้บรรยาย
Nazi in the Center of the earth


 แนว สยองขวัญ
เนื้อเรื่อง มีอยู่ว่า มีทีมวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งได้เดินทางสู่ดินแดนหนาวเย็นที่ไม่มีใครเดินทางเข้าไปถึงจนไปค้นพบสถานที่ๆไม่น่าจะมีอยู่นั่นคือฐานทัพของนาซี และถูกกองกำลังนาซีซอมบี้จับกุมตัว 
ใครจะรอดไม่รอดเชิญไปหาซื้อหรือโหลดได้เลยครับ

 

คำเตือน หนังเรื่องนี้มีเนื้อหาที่รุนแรงมาก ห้ามกินข้าวขณะดูหนังเรื่องนี้
บทวิพากพ์วิจารย์พิเศษ:หนังเรื่องนี้ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่แยกแยะ และกลุ่มแต่งเลียนแบบทหาร Re-enactor หรือ Cosplay เพราะมีจุดบกพร้องมากมาย เช่นทหารนาซี แต่งชุดทหาร NVA










Saturday, March 15, 2014

WWII Movie review:Brother's war

การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของผู้อื่นอาจไม่มีกฏหมายหรืออะไำรรับรองได้แต่นั่นเป็นสมบัติของคนต่ำ มันสื่อถึงรากง่าวของบิดามารดาทุกท่านที่คิดจะคัดลอกบทความแปลผม หากมีความคิดเห็น ขอขอบคุณที่ทุกท่านมองเห็นและคลิกที่รูปดินสอไต้บรรยาย



Brother's war
           เป็นเรื่องราวที่เล่าจากบุรุษผู้หนึ่งนามกับตัน มูลเลอร์   ที่เคยทำงานให้กับทหารแวร์มัค(Wermacht)  แต่ถูกทางเกสตาโปและทางทางฝ่ายตรงข้าม ไล่ล่าเพราะกับตันมูลเลอร์ได้เก็บความลับขององค์ Freemason ใว้ ซึ่งเป็นองค์กรลับระดับโลกที่อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารคนดังหลายคนในประวัติศาสตร์ในยุคหลังๆ ซึ่งมูลเลอร์จะรอดจากการตามล่าหรือไม่ ลองไปหาโหลดดู ดูสิว่าจะลงเอยเช่นไร
หนังเรื่องนี้โดยรวมๆแล้วทำออกมาได้ดี  แต่ไม่เคยนำมาฉายที่โรงภาพยนต์ไทย

Thursday, January 23, 2014

Madagascar Plan in Thai version

การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของผู้อื่นอาจไม่มีกฏหมายหรืออะไำรรับรองได้แต่นั่นเป็นสมบัติของคนต่ำ มันสื่อถึงรากง่าวของบิดามารดาทุกท่านที่คิดจะคัดลอกบทความแปลผม หากมีความคิดเห็น ขอขอบคุณที่ทุกท่านมองเห็นและคลิกที่รูปดินสอไต้บรรยาย
"เนื้อหาดังกล่าวไม่เหมาะสมสำหรับคนบางวัย อาจะมีภาพ และเนื้อหาที่รุนแรงจนคนบางกลุ่มรับไม่ได้ โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม"

                         แผนมาดากัสกา  Madagascar Plan เป็นข้อเสนอของรัฐบาลนาซีของเยอรมนีจะย้ายประชากรชาวยิวของยุโรปไปยังเกาะมาดากัสการ์

  Franz Rademacher,
หัวหน้าภาควิชายิวของกระทรวงการต่างประเทศของรัฐบาลนาซี  เสนอความคิดดังกล่าวในเดือนมิถุนายนปี 1940 ก่อนที่ความฝรั่งเศสจะพ่ายแพ้   ข้อเสนอเรียกร้องให้พาชาวยิวมาดากัสการ์
 จากนั้นอาณานิคมของฝรั่งเศสก็กลายเป็นของเยอรมัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงการยอมแพ้ของฝรั่งเศส
การส่งชาวยิวโปแลนด์ไปมาดากัสการ์ได้รับการตรวจสอบโดยรัฐบาลโปแลนด์ในปี 1937 แต่การประเมินศักยภาพของเนื้อที่เกาะแล้วจะรองรับได้เพียง 5,000 ถึง 7,000 ครอบครัวเท่านั้นเอง
          ภายหลังความคิดของชาวยิวการส่งยิวไปมาดากัสการ์ก็ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาโดยรัฐบาลนาซีในปี 1940 ทั้งๆที่มีเนื้อที่จำกัด ของเกาะเพื่อสนับสนุนการดำรงชีวิตของมนุษย์
Rademacher แนะนำเรื่องนี้ในวันที่ 3 มิถุนายน 1940 ว่าที่มาดากัสการ์ควรจะทำเป็นที่อยู่สำหรับชาวยิวในยุโรป
            ด้วยความเห็นชอบของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์และ อดอล์ฟ ไอชแมน ออกบันทึกที่ 15 สิงหาคม 1940 เรียกร้องให้มี การตั้งถิ่นฐานของชาวยิวนับล้านคนต่อปี โดยใช้เวลาสี่ปี  และควบคุมเป็นรัฐตำรวจภายใต้การควบคุมของเอสเอส
            แผนถูกเลื่อนออกไปหลังจากที่เยอรมันล้มเหลวที่จะเอาชนะอังกฤษในการต่อสู้กับสหราชอาณาจักรต่อมาในปี 1940 และได้รับการบุคคลากรอย่างถาวรในปี 1942 ที่มีการเริ่มการขุดรากถอนโคนของยุโรปทั้งหลาย

จุดเริ่มต้น

ในช่วงปลายยุค 1800 และต้นปี 1900 มีจำนวนของแผนการตั้งถิ่นฐานชาวยิวในยุโรปที่เป็นต้นเหตุในการจัดทำแผนมาดากัสการ์ พอลเดอ Paul de Lagarde นักวิชาการแนะนำเรื่องนี้โดยอพยพชาวยิวในยุโรปเพื่อมาดากัสการ์ในปี 1885

สมาชิกของขบวนการ ซีออน(Zionist) ใน 1904-1905 ถกเถียงกันอย่างจริงจังเรื่อง โครงการชาวอังกฤษ-ยูกันดา โดยที่รัสเซีย(ยิว) มีปัญหาทันทีจากชาติพันธุ์อย่างต่อเนื่องจะได้รับการตัดสินในยูกันดา แผนถูกปฏิเสธในภายหลังว่าเรื่องนี้มันเป็นไปไม่ได้โดย วุฒิสภาคองเกรส ซีออน(Zionist)        



(ในรูป ชาว Semite)

ความคิดของการตั้งถิ่นฐานของชาวยิวที่ถูกนำตัวขึ้นมาในช่วงปี ค.ศ. 1920 โดยพวกต่อต้านSemite และอื่น ๆ ด้วยความร่วมมือกับฝรั่งเศส รัฐบาลโปแลนด์ได้ทำการะสำรวจในปี 1937
ตรวจสอบถึงความเป็นไปได้ที่จะส่งยิวไปในเกาะ มาดากัสการ์ แต่ผลกลับกลายเป็นว่ารับได้ไม่เพียงพอ
 

ในนาซีเยอรมัน

เชื้อชาติอารยันคือสิ่งสูงสุด เป็นหลักการพื้นฐานของพรรคนาซีและรัฐบาลนาซี. การเลือกปฏิบัติและการโจมตีอย่างรุนแรงกับชาวยิวเริ่มทันทีหลังจากที่ยึดอำนาจในปี 1933 ความรุนแรงและความดันทางเศรษฐกิจถูกนำมาใช้โดยพวกนาซีที่จะส่งเสริมให้ชาวยิวที่จะส่งเสริมให้สมัครใจออกจากประเทศ
ในปี 1939 ประมาณ 250,000 คนในเยอรมัน  และยิว 43,700 คนอพยพหนีไป อเมริกา อาเจนตินา อังกฤษ ปาเลสไตน์ และอีกหลายๆประเทศ
 คนในพรรคนาซีมากมายยังคงยึดติดกับไอเดียร์ที่จะเนรเทศพวกยิวออกไปจากประเทศ


ยูเรียส สไตรเชอร์
 โยฮาคอม ฟอน ริบเบนทรอบ
 ไฮนดริช ฮิมเลอร์
อัลเฟรด โรเซนเบิร์ก
เฮอร์มาน เกอร์ริง

แผนการ

ซึ่งการประชุมครั้งนี้เกิดขึ้นในพลพรรคนาซีซึ่งมี จูเลียส สไตรคเชอร์ เฮอแมน เกอร์ริง อัลเฟรด โรเซนเบิร์ก และ โยฮาคิม ฟอน ริบเบนท็อป จนกระทั่ง ปี 1940 เรื่องแผนก็เริ่มจะได้ฤกดิ์ ฟรานซ์ ลาเดอร์มาเชอร์ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ดูแล ยิว ในสำนักงานกระทรวงการต่างประเทศ ใน3วันให้หลัง คนใหญ่คนโต มาร์ติน ลูเธอร์(ไม่ใช่คนดำ หรือนักเคลื่อนไหวศาสนานะครับ)

 ฟรานซ์ ลาเดอมานเชอร์

มาร์ติน ลูเธอร์
ลาเดอร์มาชเชอร์ ได้เขียนใว้ในบันทึกของเขาเกี่ยวกับชะตากรรมของชาวยิวว่า "การแก้ปัญหาที่น่าพอใจของชาติคือชาวยิวจะต้องออกไปจากยุโรป"
มาร์ติน ได้แนะนำว่ามาดากัสการ์ อาณานิคมของฝรั่งเศส ควรจะทำที่อยู่ให้สำหรับชาวยิวในยุโรปเป็นหนึ่งในเงื่อนไขของการยอมจำนนของฝรั่งเศสซึ่งเยอรมันได้รุกรานฝรั่งเศสในวันที่ 10 พฤษภาคม 1940

 ลาเดอร์มาชเชอร์ กล่าวว่าการทำที่อยู่ใหม่ให้ยิวอยู่    เป็นการกระทำที่ดีในอนาคตสำหรับเพื่อนร่วมชาติในอเมริกา
        ในบันทึก ลูเทอร์ทาบทามเรื่องการที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศริบเบนทรอป ผู้ที่ได้รับการพัฒนาไปพร้อม ๆ กันโครงการที่คล้ายกัน ในวันที่ 18 มิถุนายน ฮิตเลอร์และริบเบนทรอป ได้ประชุมลับกัน


 By 18 June, Hitler and Ribbentrop spoke of the Plan with Italian leader Benito Mussolini as a possibility that could be pursued after the defeat of France.[12][13]

Once he learned of the Plan, SS-Obergruppenführer Reinhard Heydrich, Chief of the Reich Main Security Office (RSHA), insisted that Ribbentrop relinquish any future responsibility for the Plan to that office. As Heydrich had been appointed by Göring in January 1939 to oversee Jewish evacuation from German-occupied territory, the Jewish question was hence under his purview.[13] Adolf Eichmann, head of the RSHA Sub-Department IV-B4, which dealt with Jewish affairs and evacuation, soon became involved. On 15 August, he released a memorandum titled Reichssicherheitshauptamt: Madagaskar Projekt (Reich Main Security Office: Madagascar Project), calling for the resettlement of a million Jews per year for four years and abandoning the idea of retaining any Jews in Europe. The RSHA, he emphasised, would control all aspects of the program.[15] While Rademacher called for the colony to be under German control but self-governing under Jewish administration, Eichmann made it plain that he intended for the SS to control and oversee every aspect of life on the island, which they would govern as a police state.[16]
Most Nazi officials, especially Hans Frank, governor of the General Government (the occupied portion of Poland), viewed the forced resettlement to Madagascar as being preferable to the heretofore piecemeal efforts at deportation into Poland. As of 10 July, deportations into Poland were cancelled and construction of the Warsaw ghetto was halted, since it appeared to be unnecessary.[13]

Planning continues

Rademacher envisioned the founding of a European bank that would ultimately liquidate all European Jewish assets to pay for the Plan. This bank would then play an intermediary role between Madagascar and the rest of the world, as Jews would not be allowed to interact financially with outsiders. Göring's office of the Four Year Plan would oversee the administration of the Plan's economics.[17]
Additionally, Rademacher foresaw roles for other government agencies. Ribbentrop's Foreign Affairs Ministry would negotiate terms with the French for the handover of Madagascar to Germany. It would also play a part in crafting other treaties to deal with Europe's Jews. Its Information Department, along with Joseph Goebbels and his Ministry of Public Enlightenment and Propaganda, would control the flow of information at home and abroad. Viktor Brack, a division chief in the Chancellery of the Führer, would oversee transportation. The SS would undertake the expulsion of the Jews from Europe and govern the island as a police state.[18] The Nazis expected that after the invasion of Great Britain in Operation Sea Lion that they would commandeer the British merchant fleet to transport the Jews to Madagascar.[17] Many deportees were expected to perish in the harsh conditions or die at the hands of the SS.[19]

Plan abandoned

After Germany's failure to defeat the Royal Air Force in the Battle of Britain in 1940, the invasion of Britain was postponed indefinitely. This meant the British merchant fleet would not be at Germany's disposal for use in evacuations, and planning for the Madagascar proposal stalled.[17] In late August 1940 Rademacher entreated Ribbentrop to hold a meeting at his Ministry to begin drawing up a panel of experts to consolidate the Plan. Ribbentrop never responded. Likewise, Eichmann's memorandum languished with Heydrich, who never approved it.[17] Establishment of ghettos in Warsaw and other cities in Poland resumed in August 1940.[20] Hitler continued to mention the Plan until February 1942, when the idea was permanently shelved.[21] British Empire forces took the island from Vichy France in the Battle of Madagascar in November 1942 and control was transferred to the Free French.
At the end of 1940, Hitler asked Himmler to draft a new plan for the elimination of the Jews of Europe, and Himmler passed along the task to Heydrich. His draft proposed the deportation of the Jews to the Soviet Union via Poland.[22] The later Generalplan Ost (General Plan for the East), prepared by Professor Konrad Meyer and others, called for deporting the entire population of occupied Eastern Europe and the Soviet Union to Siberia, either for use as slave labour or to be murdered after the Soviet defeat.[23] After the German failure in the Battle of Moscow in December 1941, Hitler resolved that the Jews of Europe were to be exterminated immediately rather than after the war, which now had no end in sight.[24] Since transporting masses of people into a combat zone would be impossible, Heydrich decided that the Jews would be killed in extermination camps set up in occupied areas of Poland.[25] The total number of Jews murdered during the resulting Holocaust is estimated at 5.5 to 6 million people.[26]

Wednesday, January 1, 2014

Sturmabteilung-SA

Sturmabteilung-SA

สเติร์มอับไทลุงหรือกองกำลังจู่โจม(Assault Division)

 

 ก่อตั้งในปี 1920-ปลดประจำการปี 1945 





เป็นหน่วยที่ขึ้นตรงกับพรรคนาซี และเป็นหน่วยที่ทำให้ฮิตเลอร์ขึ้นสู่อำนาจ ในปี 1920 ถึงช่วงปี 1930  ทำหน้าที่หลักๆคือปกป้อง อดอร์ฟ ฮิตเลอร์จากการถูกทำร้ายจากพรรคตรงกันข้าม
  intimidating Jewish citizens (e.g. the Nazi boycott of Jewish businesses).
The SA was the first Nazi paramilitary group to develop pseudo-military titles for bestowal upon its members. The SA ranks were adopted by several other Nazi Party groups, chief amongst them the SS, itself originally a branch of the SA. SA men were often called "brownshirts" for the colour of their uniforms (similar to Benito Mussolini's blackshirts). Brown-coloured shirts were chosen as the SA uniform because a large batch of them were cheaply available after World War I, having originally been ordered during the war for colonial troops posted to Germany's former African colonies.[1]
The SA became disempowered after Adolf Hitler ordered the "Blood purge" of 1934. This event became known as the Night of the Long Knives. The SA was effectively superseded by the SS, although it was not formally dissolved and banned until after the Third Reich's final capitulation to the Allied powers in 1945.

Rise

The term Sturmabteilung predates the founding of the Nazi Party in 1919. Originally it was applied to the specialized assault troops of Imperial Germany in World War I who used Hutier infiltration tactics. Instead of large mass assaults, the Sturmabteilung were organised into small squads of a few soldiers each. The first official German Stormtrooper unit was authorized on 2 March 1915; the German high command ordered the VIII Corps to form a detachment to test experimental weapons and develop tactics which could break the deadlock on the Western Front. On 2 October 1916, Generalquartiermeister Erich Ludendorff ordered all German armies in the west to form a battalion of stormtroops.[2] They were first used during the German Eighth Army's siege of Riga, and again at the Battle of Caporetto. Wider use followed on the Western Front in March 1918, where Allied lines were successfully pushed back tens of kilometers.
The DAP (Deutsche Arbeiterpartei or German Workers' Party) was formed in Munich in January 1919 and Adolf Hitler joined it in September of that year. His talents for speaking, publicity and propaganda were quickly recognized,[3] and by early 1920 he had gained authority in the party, which changed its name to the NSDAP (Nationalsozialistische Deutsche Arbeiterpartei or National Socialist German Workers' Party) in April 1920.
The precursor to the SA had acted informally and on an ad hoc basis for some time before this. Hitler, with an eye always to helping the party to grow through propaganda, convinced the leadership committee to invest in an advertisement in the Münchener Beobachter (later renamed the Völkischer Beobachter) for a mass meeting in the Hofbräuhaus, to be held on 16 October 1919. Some 70 people attended, and a second such meeting was advertised for 13 November in the Eberlbrau beer hall. Some 130 people attended; there were hecklers, but Hitler's military friends promptly ejected them by force, and the agitators "flew down the stairs with gashed heads." The next year, on 24 February, he announced the party's Twenty-Five Point program at a mass meeting of some 2000 persons at the Hofbräuhaus. Protesters tried to shout Hitler down, but his army friends, armed with rubber truncheons, ejected the dissenters. The basis for the SA had been formed.[4]

Hitler and Hermann Göring with SA stormtroopers at Nuremberg in 1928.
A permanent group of party members who would serve as the Saalschutz Abteilung (hall defense detachment) for the DAP gathered around Emil Maurice after the February 1920 incident at the Hofbräuhaus. There was little organization or structure to this group. The group was also called the Ordnertruppen around this time.[5] More than a year later, on 3 August 1921, Hitler redefined the group as the "Gymnastic and Sports Division" of the party (Turn- und Sportabteilung), perhaps to avoid trouble with the government.[6] It was by now well recognized as an appropriate, even necessary, function or organ of the party. The future SA developed by organizing and formalizing the groups of ex-soldiers and beer hall brawlers who were to protect gatherings of the Nazi Party from disruptions from Social Democrats and Communists. By September 1921 the name Sturmabteilung was being used informally for the group.[7] Hitler was the official head of the Nazi Party by this time.[8]
On 4 November 1921 the Nazi Party held a large public meeting in the Munich Hofbräuhaus. After Hitler had spoken for some time the meeting erupted into a melee in which a small company of SA thrashed the opposition. The Nazis called this event Saalschlacht (meeting hall battle) and it assumed legendary proportions in SA lore with the passage of time. Thereafter, the group was officially known as the Sturmabteilung.[7]
The leadership of the SA passed from Maurice to the young Hans Ulrich Klintzsch in this period. He had been a naval officer and a member of the Ehrhardt Brigade of Kapp Putsch fame and was, at the time of his assumption of SA command, a member of the notorious Organisation Consul (OC).[9] The Nazis under Hitler were taking advantage of the more professional management techniques of the military.[7]
In 1922, the Nazi Party created a youth section, the Jugendbund, for young men between the ages of 14 and 18 years. Its successor, the Hitler Youth, remained under SA command until May 1932.
From April 1924 until late February 1925 the SA was known as the Frontbann to try to circumvent Bavaria's ban on the Nazi Party and its organs (instituted after the abortive Beer Hall putsch of November 1923). Members of the SA were, throughout the 1920s and into the 1930s, often involved in street fights called Zusammenstöße (collisions) with socialist groups and members of the Communist Party (KPD). Under their popular leader, Stabschef Ernst Röhm, the SA grew in importance within the Nazi power structure, initially growing in size to thousands of members. However, in the early 1930s as the Nazis evolved from an extremist political party to the unquestioned leaders of the government, the SA was no longer needed for its original purpose: the acquisition of political power and the suppression of the enemies of the Party. An organization that could inflict more subtle terror and total obedience was needed, and the SA (which had been born out of street violence and beer hall brawls) was simply not capable of doing so. The SA also posed a threat to the Nazi leadership and to Hitler's goal of co-opting the Reichswehr to his ends, as Röhm's ideal was to fold the "antiquated" German Army into a new "people's army", the SA. By 1933, the younger SS was no longer the mere bodyguard of Hitler and showed itself more suited to carry out Hitler's policies thereby taking over the previously held roles of the SA.

Fall

After Hitler took power in 1933, the SA became increasingly eager for power and saw themselves as a replacement for the German Army, then limited by law to no more than 100,000 men. This angered the regular army (Reichswehr) and led to tension with other leaders within the party, who saw Röhm's increasingly powerful SA as a threat to the current party leadership.[10] Originally an adjunct to the SA, the Schutzstaffel (SS) was placed under the control of Heinrich Himmler in part to restrict the power of the SA and their leaders.[11]
Although some of these conflicts were based on personal rivalries, there were also key socio-economic conflicts between the SS and SA. SS members generally came from the middle class, while the SA had its base among the unemployed and working class. Politically speaking, the SA were more radical than the SS, with its leaders arguing the Nazi revolution had not ended when Hitler achieved power, but rather needed to implement socialism in Germany (see Strasserism). Furthermore, the defiant and rebellious culture encouraged before the seizure of power had to give way to a community organization approach such as canvassing and fundraising, which was resented by the SA as Kleinarbeit, "little work," which had normally been performed by women before the seizure of power.[12]
In 1933, General Werner von Blomberg, the Minister of Defence, and General Walther von Reichenau, the chief of the Reichswehr's Ministerial Department, became increasingly concerned about the growing power of the SA. Ernst Röhm had been given a seat on the National Defence Council and began to demand more say over military matters. On 2 October 1933, Röhm sent a letter to Reichenau that said: "I regard the Reichswehr now only as a training school for the German people. The conduct of war, and therefore of mobilization as well, in the future is the task of the SA."[13]
Blomberg and von Reichenau began to conspire with Hermann Göring and Heinrich Himmler against Röhm and the SA. Himmler asked Reinhard Heydrich to assemble a dossier on Röhm. Heydrich recognized that in order for the SS to fully gain national power the SA had to be broken.[14] He manufactured evidence that suggested that Röhm had been paid 12 million marks by the French to overthrow Hitler.
Hitler liked Ernst Röhm and initially refused to believe the dossier provided by Heydrich. Röhm had been one of his first supporters and, without his ability to obtain army funds in the early days of the movement, it is unlikely that the Nazis would have ever become established. The SA under Röhm's leadership had also played a vital role in destroying the opposition during the elections of 1932 and 1933.
However, Adolf Hitler had his own reasons for wanting Röhm removed. Powerful supporters of Hitler had been complaining about Röhm for some time. The generals were fearful of Röhm's desire to have the SA, a force of over three million men, absorb the much smaller German Army into its ranks under his leadership.[14] Further, reports of a huge cache of weapons in the hands of SA members gave the army commanders even more concern.[14] Industrialists, who had provided the funds for the Nazi victory, were unhappy with Röhm's socialistic views on the economy and his claims that the real revolution had still to take place. Matters came to a head in June 1934 when President von Hindenburg, who had the complete loyalty of the army, informed Hitler that if he did not move to curb the SA then Hindenburg would dissolve the Government and declare martial law.[15]
Hitler was also concerned that Röhm and the SA had the power to remove him as leader. Hermann Göring and Heinrich Himmler played on this fear by constantly feeding him with new information on Röhm's proposed coup. A masterstroke was to claim that Gregor Strasser, whom Hitler hated, was part of the planned conspiracy against him. With this news Hitler ordered all the SA leaders to attend a meeting in the Hanselbauer Hotel [16] in Bad Wiessee.
On 30 June 1934, Hitler, accompanied by the Schutzstaffel (SS), arrived at Bad Wiessee where he personally placed Ernst Röhm and other high-ranking SA leaders under arrest. Over the next 48 hours, 200 other senior SA officers were arrested on the way to Wiessee. Many were shot as soon as they were captured but Hitler decided to pardon Röhm because of his past services to the movement. On 1 July after much pressure from Hermann Göring and Heinrich Himmler, Hitler agreed that Röhm should die. Hitler insisted that Röhm should first be allowed to commit suicide. However, when Röhm refused, he was killed by two SS officers, Theodor Eicke and Michael Lippert.[17] The names of eighty-five victims are known; however, estimates place the total number killed at between 150 and 200 persons.[18] While some Germans were shocked by the killing, many others saw Hitler as the one who restored "order" to the country.[19] Goebbels's propaganda highlighted the "Röhm-Putsch" in the days that followed. The homosexuality of Röhm and other SA leaders was made public to add "shock value"[19] even though the sexuality of Röhm and other named SA leaders had actually been known by Hitler and other Nazi leaders for years.[19]

After the purge

After the Night of the Long Knives, the SA continued to exist under the leadership of Viktor Lutze, but the group was largely placated and significantly downsized.[20] However, attacks against the Jews escalated in the late 1930s and the SA was a main perpetrator of the actions.
In November 1938, after the murder of German diplomat Ernst vom Rath by Herschel Grynszpan (a Polish Jew), the SA were used for "demonstrations" against the act. In violent riots, members of the SA shattered the storefronts of about 7,500 Jewish stores and businesses, hence the appellation Kristallnacht (Crystal Night) to the events.[21] Jewish homes were ransacked throughout Germany. This pogrom damaged, and in many cases destroyed, about 200 synagogues (constituting nearly all Germany had), many Jewish cemeteries, more than 7,000 Jewish shops, and 29 department stores. Some Jews were beaten to death and more than 30,000 Jewish men were arrested and taken to concentration camps.[22]
Thereafter, the SA became overshadowed by the SS, and by 1939 had little remaining significance in the Nazi Party. With the start of World War II in September 1939, the SA lost most of its remaining members to military service in the Wehrmacht (armed forces).[23] Later, an attempt was made to form an SA combat division on similar lines to the Waffen-SS, the result being the creation of the Feldherrnhalle SA-Panzer Division.[citation needed]
In 1943, Viktor Lutze was killed in an automobile accident and leadership of the group was assumed by Wilhelm Schepmann. Schepmann did his best to run the SA for the remainder of the war, attempting to restore the group as a predominant force within the Nazi Party and to mend years of distrust and bad feelings between the SA and SS.
The SA officially ceased to exist in May 1945 when Nazi Germany collapsed. The SA was banned by the Allied Control Council shortly after Germany's capitulation. In 1946, the International Military Tribunal at Nuremberg formally judged the SA not to be a criminal organization.[24]
In the modern age, several Neo-Nazi groups claim to be continued extensions of the SA, with terms such as "stormtrooper" and "brown shirt" common in Neo-Nazi vocabulary, although these groups are often loosely organized with separate agendas.

Leaders


Ernst Röhm, SA Chief of Staff, was shot on Hitler's orders, after refusing to commit suicide, in the Night of the Long Knives purge in 1934
The leader of the SA was known as the Oberster SA-Führer, translated as Supreme SA-Leader. The following men held this position:
In September 1930, to quell the Stennes Revolt and to try to ensure the personal loyalty of the SA to himself, Hitler assumed command of the entire organization and remained Oberster SA-Führer for the remainder of the group's existence to 1945. The day-to-day running of the SA was conducted by the Stabschef-SA (SA Chief of Staff). After Hitler's assumption of the supreme command of the SA, it was the Stabschef-SA who was generally accepted as the Commander of the SA, acting in Hitler's name. The following personnel held the position of Stabschef-SA:

Organization


The SA not only instigated street violence against Jews, Communists and Socialists, it also enforced boycotts against Jewish-owned business, such as this one in Berlin on 1 April 1933.
The SA was organized throughout Germany into several large formations known as Gruppen. Within each Gruppe, there existed subordinate Brigaden and in turn existed regiment-sized Standarten. SA-Standarten operated out of every major German city and were split into even smaller units, known as Sturmbanne and Stürme.

Vehicle command flag for the Stabschef SA, 1938–1945
The command nexus for the entire SA operated out of Stuttgart and was known as the Oberste SA-Führung. The SA supreme command had many sub-offices to handle supply, finance, and recruiting. Unlike the SS, however, the SA did not have a medical corps nor did it establish itself outside of Germany, in occupied territories, once World War II had begun.
The SA also had several military training units, the largest of which was the SA-Marine which served as an auxiliary to the Kriegsmarine (German Navy) and performed search and rescue operations as well as harbor defense. Similar to the Waffen-SS wing of the SS, the SA also had an armed military wing, known as Feldherrnhalle. These formations expanded from regimental size in 1940 to a fully-fledged armored corps Panzerkorps Feldherrnhalle in 1945.

Maxims

  • "Terror must be broken by terror"[26]
  • "All opposition must be stamped into the ground"[26]

See also