Can't find it? here! find it

Sunday, January 4, 2009

The last Samurai

ประวัติซามูไร SAMURAI



นักสู้ซามูไร . .. .

ประวัติ ศาสตร์นักสู้ซามูไรเริ่มขึ้นในศตวรรษที่ 11(十一) เมื่อรัฐบาลอ่อนแอ ชาวบ้านตลอดจนขุนนางญี่ปุ่น(日本) จึงหันไปพึ่งพาผู้มีฝีมือในเชิงยุทธที่ขนานนามกันว่า "ซามูไร" จากนั้นมาซามูไรก็รุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ "โชกุน" อัครมหาเสนาบดี และ "ไดเมียว" เจ้าผู้ครองนครต่างๆ ของญี่ปุ่น(日本) ต่างก็มีซามูไรเป็นกองทัพไว้ประดับบารมี

อาวุธ ประจำกายของซามูไรนั้น ทั่วโลก(世界)รู้ดีว่าคือดาบอันคมกริบ ซามูไรบางคนใช้วิธีฝึกฝน(れんしゅう) ความคมดาบของตน โดยอาศัยร่างของชาวบ้าน สามัญชนเป็นที่ทดสอบ แบบนี้ชาวบ้านก็ผวา ไปตามกันซีครับ ดังนั้น ในสมัย(じだい)ของโชกุน โตกูงาวะ จึงมีกฎหมายอนุญาตให้ ซามูไรเอาศพ ของนักโทษประหารไปใช้รองรับ คมดาบของตนได้ วิธีการก็คือ เอาศพไปมัดติดกับหลักซึ่งทำจากลำไม้ไผ่ จากนั้นนักดาบในชุดซามูไรออกศึก (กามิ ชิโม) ก็จะถือดาบเยื้องย่าง เข้ามาพินิจพิจารณาดูว่า จะฟันส่วนใดของศพจึงจะเหมาะสม เช่นว่า การฟันข้อมือจะง่ายดายที่สุด ส่วนการฟันขาดสะโพก (เรียว กูรูม่า) หรือฟันตัดสองบ่า (ไต-ไต) จะยาก(むずかしい)ที่สุด หลังจากฟันแล้ว ซามูไรก็จะตรวจสอบดาบของตนอย่างละเอียดว่า มีบิ่นหรืองอหรือไม่ เลือดและไขมันที่ติดดาบนั้นมีลักษณะเป็นอย่างใด เสร็จแล้วก็ไปตรวจตราร่องรอยการฟันบนร่างศพซามูไรที่เก่งกาจนั้นต้องมีดาบ ชั้นดีไว้ ครอบครองครับ เช่น ดาบที่ผลิตจากสำนักตีดาบมีระดับ เช่น ติมบะ โนะ กามิ โยชิมิชิ (ค.ศ.1565-1635) หรือสำนักของ อิโนอูเอะ ชินกาอิ (ราว ค.ศ.1674)ศิลปะการใช้ดาบต่อสู้อย่างรวดเร็วฉับไวนั้น สร้างชื่อเสียงให้ซามูไรจนใครได้ยินชื่อก็หนาว(寒い)

แต่...เมื่อถึงกาลเวลาหนึ่ง ดาบซามูไรก็ต้องถูกสยบด้วยอาวุธอื่นอันทรงอานุภาพกว่าในปี ค.ศ.1551(一千五百五十一) หนุ่มนักสู้วัย 20 ปี นาม โอดะ โนบูนางะ ขึ้น เป็นไดเมียว ครองนครเล็กๆ(小さい) โอวาริ ใกล้กับเมือง(町)นาโงยาในปัจจุบัน เขาได้สร้างวีรกรรม ที่ทำให้ญี่ปุ่น(日本)ทั้งประเทศตื่นตะลึง นั่นคือสามารถใช้ นักรบเพียง 3,000 คน(三千人) ยืนหยัดต่อสู้ และพิชิตกองทัพขนาด 25,000 คน(二万五千人) ของ อิมะงาวะ ซึ่ง เป็นไดเมียว นครใหญ่(大きい) โดยอิมะงาวะนั้น คิดการใหญ่ ต้องการเป็นโชกุน และยกกำลังออกปราบปราม เมืองใหญ่น้อย แต่โนบูนางะไม่ยอมก้มหัวให้ เขาใช้กลยุทธ์หลอกเอาทัพ ของอิมะงาวะไปติดกับ ในซอกเขาท่ามกลางหมอกหนา แล้วนำนักรบจำนวนน้อย ของตนถล่มข้าศึกจนราบคาบก่อนหน้านี้ในปี ค.ศ.1542(一千五百四十二) ชาวโปรตุเกสได้มาถึงญี่ปุ่น(日本)เป็นหนแรกเพื่อค้าขาย พวกเขาได้นำปืนยาวอาวุธชนิดใหม่ ที่ชนญี่ปุ่น(日本)ไม่เคยเห็นมาด้วย เจ้าครองนครต่างๆชื่นชมมาก เพราะมันมีพลานุภาพเหนือกว่าหน้าไม้และธนูหลายเท่า และโดยที่พี่ยุ่นนั้นถนัดในเรื่องก๊อบปี้ ดังนั้น จึงมีข้อมูลที่พ่อค้าโปรตุเกสคนหนึ่งบันทึกไว้ว่า เพียงชั่วหกเดือนนับจากที่ได้ลูบคลำปืนเป็นครั้งแรก เหล่าช่างญี่ปุ่น(日本)ก็สามารถผลิตปืนขึ้นเองได้ถึง 600(六百) กระบอกปืนนั้นเป็นอาวุธระยะไกล สามารถสังหารข้าศึกได้แบบไม่ทันได้รู้ตัว ในอมตะวรรณกรรม "ผู้ชนะสิบทิศ" ของ "ยาขอบ" เมื่อ บุเรงนอง จอมทัพพม่า ได้เห็นอานุภาพของปืนเป็นครั้งแรก ก็ยังทรงรำพึงอย่างรันทดพระทัยว่า ต่อแต่นี้ไปคงจะไม่ได้เห็นภาพการต่อสู้ด้วยดาบ หรือทวนอย่างห้าวหาญสมกับเป็นนักรบอีกแล้ว

แม้ นักรบซามูไรหลายคนจะเหยียดหยามนักรบถือปืนว่าขี้ขลาดตาขาว แต่โนบูนางะเป็นขุนศึกประเภทคิดใหม่-ทำใหม่ เขาเรียนรู้อย่างรวดเร็วว่า ยุคแห่งอาวุธทันสมัยได้มาถึงแล้ว และหากเขาต้องการรวบรวมญี่ปุ่น(日本)ให้เป็นหนึ่งเดียว เขาจำเป็นต้องใช้ปืนนอกจากปืนแล้ว โนบูนางะยังมียอดขุนพลคู่ใจซ้าย-ขวา คือ โตโยโตมิ ฮิเดโยชิ กับ โตกูงาวะ อิเอยาสุ (สอง คนนี้ต่อมาโด่งดังสุดๆทั้งคู่) ทำให้โนบูนางะ สามารถแผ่ขยายอำนาจ กว้างขวางออกไปได้อย่างรวดเร็ว แต่แล้วก็พบอุปสรรคสำคัญ ซึ่งมิใช่ กองทัพของไดเมียวใดหากทว่าเป็นสมณะนักรบแห่งพุทธศาสนา!ใน ปี 1571(一千五百七十一) โนบูนางะ ยกกำลังทัพ 30,000 คน(三万人) ไปล้อมวัดซากาโมโตบนเขาฮิเออิทางเหนือ(北)ของเกียวโต(京都) วัดนี้เป็นวัดศักดิ์สิทธิ์ที่สุดทั้งของผู้นับถือพุทธและชินโต แต่พระภิกษุในวัดปฏิเสธไม่ยอมอ่อนน้อม และอพยพชาวบ้านลูกเล็กเด็กแดงทั้งหลาย เข้ามาหลบไว้ภายในวัดเหตุการณ์ต่อจากนี้ บาทหลวง หลุยส์ ฟรังส์ มิชชันนารีเยซูอิต ได้บันทึกไว้ว่า"เมื่อรู้ว่าชาวบ้านทั้งหมดได้ไปปักหลักอยู่ในวัด โนบูนางะก็สั่งการทันที ให้เอาปืนระดมยิง ใช้ไฟเผา และบุกเข้าไปใช้ดาบสังหารทุกคนภายในวัด(お寺) ไม่ว่าจะเป็นชาย(男)หญิง(女)หรือเด็กเล็ก"และหลังจากนี้ โนบูนางะก็ได้นำกลยุทธ์การรบแผนใหม่มาใช้ โดยดาบซามูไรไม่มีทางเทียบได้เลยในการรบแบบเดิมๆของซามูไร พวกเขาจะควบม้าดาหน้าเข้ามาพร้อมกับกวัดไกวดาบในมือ ประจัญบานหํ้าหั่นกันแบบถึงเนื้อถึงตัว แต่เมื่อพบกับกลยุทธ์ใหม่ของโนบูนางะ พวกเขาไม่มีโอกาสหรอกครับ โนบูนางะ จัดวางพลปืนจำนวน 3,000 คน(三千人)ของเขา รับมือทหาร(ぐんじん)ม้าซามูไร โดยตั้งแนวเป็นชั้นๆ และไม่ยิงพร้อมกันทีเดียวหมดทุกคน เมื่อแถวหน้ายิงออกไป แล้วก็จะบรรจุกระสุน ระหว่างนั้นแถวที่ 2(二) และ 3(三) ก็ยิงออกไปทีละแถวตามลำดับ ยิงออกไป 3-4 ชุด ทัพม้าซามูไรก็ไม่เหลือ



เมื่อ เห็นเช่นนั้น วัด(お寺)อื่นๆก็เริ่มตระหนักถึง ความสำคัญ(大切)ของปืน และตั้งต้นสร้าง โรงงาน(工場)ผลิตปืนเป็นการใหญ่ โดยเฉพาะเมืองอิสระ ซากาอิ ถึงกับเป็นแหล่งอุตสาหกรรมค้าขายปืน ให้กับผู้ซื้อทุกรายไม่มีเกี่ยง ในปี 1575(一千五百七十五) นั้น ถึงกับกล่าวกันว่า ทัพของโนบูนางะทันสมัย ยิ่งกว่าทัพขนาดเล็ก(小さい) ของยุโรปเสียอีกถัดไปคือวัด ฮอนงันจิ ในโอซากา(おおさか) ซึ่งเป็นวัด(お寺)ใหญ่ มีสานุศิษย์ที่รํ่ารวยมากมาย มีขุมกำลังซามูไรที่สามารถ ซึ่งก็คือภิกษุสมณะของวัด(お寺)นั่นเอง บรรดาหลวงพ่อและหลวงพี่แห่งวัด(お寺)นี้ ใช้เวลานอกเหนือการปฏิบัติธรรม มาฝึกฝนการใช้ดาบและธนูอย่างชํ่าชอง จนต่อต้านกองทัพปืนยาวของโนบูนางะได้นานถึง 11(十一) ปี! โนบูนางะจึงเปลี่ยนไปใช้การบุกทางทะเล โดยใช้ปืนใหญ่ขนาดเล็ก(小さい) ระดมยิงจากเรือเหล็ก ซึ่งยุทธวิธีนี้ลํ้าหน้าการรบทางเรือ(ふね)ของอเมริกา(アメリカ)ในสงครามกลางเมือง (町)ถึง 300(三百) ปีเชียวครับผมดีแต่ว่าพระจักรพรรดิทรงเห็นว่า วัด(お寺)ใหญ่และสำคัญ(大切)แห่งนี้จะไม่รอดพ้นความพินาศ จึงยื่นพระหัตถ์มาไกล่เกลี่ย โดยให้โนบูนางะครอบครองโอซากา(おおさか)ได้ และภิกษุในวัดฮอนงันจิก็ยังปฏิบัติธรรมต่อไปอย่างอิสระได้เช่นกัน ซึ่งพระท่านก็ยินดีที่ไม่เสียหน้าต้องยอมแพ้ถึงจุดนี้ ท่านผู้อ่านเห็นด้วยไหมครับ ถ้าจะกล่าวว่า นักดาบซามูไรขนานแท้รุ่นสุดท้าย ที่ยืนหยัดต่อสู้กับอาวุธไฮเทค (ในยุคนั้น) ได้อย่างทรหด ก็คือ สมณะแห่งพุทธศาสนา นั่นเองในที่สุดโนบูนางะก็มีอำนาจสูงสุดในญี่ปุ่น(日本) เขามิได้เก่ง(上手)ในเชิงรบอย่างเดียว หากการบริหาร(サービス)ก็เยี่ยมยอด เขาบูรณะวังหลวงให้แก่จักรพรรดิ เพิ่มรายได้ประจำปี(年) ให้พระองค์ เพื่อให้สมแก่ พระเกียรติ เขาสนับสนุนโชกุน โยชิอากิ แต่ เมื่อโชกุนมีทีท่าไม่น่าไว้ใจ เขาก็เนรเทศไปเสียจากนครหลวง เขาเคยกล่าวกับบาทหลวงฟรังส์ว่า"ไม่ว่าจักรพรรดิหรือโชกุน ข้าก็ควบคุมได้อย่างสมบูรณ์หมดสิ้นแหละ



นอก จากนี้ โนบูนางะ ยังเสริมสร้างความแข็งแรง(元気) ในด้านเศรษฐกิจ และค้าขายให้กับญี่ปุ่น(日本) ด้านการทหาร(ぐんじん) ก็มีทหาร(ぐんじん)ม้าชั้นดีถึง 20,000(二万) นายแต่วาระสุดท้ายของเขา ก็มาถึงอย่างกะทันหันในปี 1582(一千五百八十二) ขณะที่เขาพักผ่อน อยู่ในที่พำนักในเกียวโต(京都) แวดล้อมด้วยทหาร(ぐんじん)ในสังกัด ของนายพลอาเคชิ มัตสุฮิเดะ ผู้ซึ่งฝักใฝ่ในองค์จักรพรรดิ และต้องการโค่นล้มโนบูนางะ บาทหลวงฟรังส์ บันทึกเหตุการณ์ตอนนี้ไว้ว่า"เหล่าทหาร(ぐんじん)ของอาเคชิ กรูผ่านประตูเข้าไปอย่างรวดเร็วโดยไม่มีการขัดขวาง เนื่องจากไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดการกบฏ โนบูนางะเพิ่งล้างหน้า(顔を洗います)ล้างตาหลังตื่นนอนเช้า(朝)ตรู่ ทหาร(ぐんじん)ที่ทรยศได้ยิงธนูเสียบสีข้างของเขา โนบูนางะกระชากลูกธนูออก แล้วฉวยดาบโค้งยาว(長い)ออกมาต่อสู้ แต่อีกเพียงครู่เดียวก็ถูกยิงเข้าที่แขนอีก เขากลับเข้าไปในห้องแล้วปิดประตูลั่นดาล บางคนกล่าวว่าเขากระทำฮาราคีรี แต่บางคนก็เชื่อว่าเขาจุดไฟเผาห้องและตายในกองเพลิง เรารู้แน่นอนแต่เพียงว่า บุรุษผู้ที่แม้แต่ทารกก็ยังเงียบเสียงเพียงได้ยินชื่อเขา ได้ตาย(死にます)ไปในที่นั้นโดยไม่เหลือร่องรอย ใดๆกระทั่งผมสักเส้นเดียว...




"จุด จบของผู้ที่สยบนักรบซามูไรได้อย่างราบคาบ ช่างน่าเศร้าเสียนี่กระไร หรือเป็น ผลกรรมตามสนองจากการที่เขาได้เข่นฆ่าอย่างทารุณ ต่อสมณะนักสู้ในพระพุทธศาสนา... ซามูไรรุ่นสุดท้าย.

No comments: