ชีวิตในสมัยศัตวรรษที่ 16
ทีหลังหากใครคิดว่าการใช้น้ำเป็นเรื่องยุ่งยากล่ะก็ลองกลับไปในยุคสมัยศัตวรรษที่ 16ดูสิ
ผู้คนในสมัยนั้นส่วนใหญ่แต่งงานกันตอนเดือนมิถุนายน เพราะเนื่องจากคนยุโรปเขาจะอาบน้ำในเดือนพฤษภาคมและก็ยังคงรัญจวนไปจนถึงตอนเดือนมิ.ย. อย่างไรก็ตาม, พวกเขาเริ่มจะได้กลิ่นเจ้าสาวถือช่อดอกไม้มาขณะที่เจ้าสาวซ่อนอยู่หลังประตู
การอาบน้ำในสมัยนั้นต้องอาบด้วยการไส่น้ำร้อนลงไปในถังน้ำใหญ่ในขณะที่ผู้ชายได้อาบน้ำคนแรกที่สะอาด, แล้วก็ลูกชายและชายอื่นแล้วก็ตามด้วยผู้หญิง, และเด็กๆถึงทารกคือชุดสุดท้าย เพราะตามคิวแบบนี้, น้ำจึงสกปรกมาก
บ้านมีการมุงจาก ,มุงด้วยฟางอย่างหนา, สูง, และไม่มีการวางไม้ข้างไต้. เพื่อที่จะให้สัตว์ได้อยู่กันแบบอบอุ่น, เพราะงั้นหมา แนว และสัตว์ตัวเล็กๆทั้งหลาย(หนู หรือแมลง) จะได้ไปอยู่บนหลังคา. เมื่อฝนตก, หลังคากลายเป็นที่ลื่นมากและตกลงมาใส่หัวผู้อยู่อาศัย ซึ่งไม่มีอะไรหยุดมันได้ แน่นอนมันเป็นปัญหามากสำหรับห้องนอน เพราะไม่ว่าจะสัตว์ชนิดใดก็จะตกใส่เตียงแบบไม่ยี่หระ. นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมเตียงยุโรปถึงมีผ้ามุง
อาหารการกินของพวกเขาก็จะหนีไม่พ้นกะืทะร้อนๆ
แต่แน่นอนคนยุคนั้นไม่ได้มีเนื้อให้กินมากเท่าทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นเขาจึงต้องทำเนื้อสตูว์ในตอนเย็น และเหลือใว้ ทิ้งมันใว้ข้ามคืน และกินต่อในรุ่งเช้า
; มันมีสุภาษิตฝรั่งเขาว่า, "peas porridge hot, peas porridge cold, peas porridge in the pot nine days old.-โจ๊กถั่วถึงร้อนถึงเย็น โจ๊กถั่วอายุ 9 วัน"
บางครั้งพวกเขาอาจจะกินหมู ซึ่งจะเป็นมื้อที่วิเศษมาก
เมื่อมีแขกมาเยือน, เจ้าบ้านจะทำการทำเนื้อหั่นมาแสดงให้ดู
เพื่อที่จะแสดงให้ดูว่า่กระผม/ดิฉันร่ำรวยนะ
และแน่้นอนว่าพวกเขาจะเฺฺฉือนเนื้อนิดๆเพื่อจะแบ่งให้แขกที่้มาเยือนบ้านได้ลิ้มลองรสชาติ หรือเรียกง่ายๆกว่า "แบ่งกันอ้วน"
"OH MY BUDDHA!!!"
เงินในสมัยนั้นเป็นเหรียญทำมาจากโลหะผสมดีบุกกับตะกั่ว. อาหารที่ประักอบด้วยกรดเพื่อการกลั่นกรองอาหาร, ทำให้คนในสมัยนั้นตา่ยกันบ่อยๆ. ซึ่งส่วนมากจะเกิดขึ้นในมะเขือเทศ, ต่อมาอีก400ปี มะเขือเทศก็ถูกตีตราว่ามีพิษ!?!?!?
ขนมปังเป็นสิ่งที่ถูกทำให้แบ่งแยกถึงสถานะของคน. ผู้อยู่อาศัยได้ส่วนไหม้ส่วนก้นขนมปัง. ครอบครอบครัวของตนจะได้ส่วนหลาง แขกจะได้ส่วนบนสุด
แก้วที่ทำจากตะกั่วนั้นมีใว้กินวิสกี้และเหล้ามอลต์
การที่กินผสมๆกันอาจทำให้่ บางคนแฮ็งได้หลายวันๆ
บางคนดื่มไปแล้วอยู่ดีล้มหัวฟาดพื้นตายกลางถนนก็ย่อมได้
และเรื่องเหล่านี้เก็เป็นความจริง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์...............แล้วคุณยังจะคิดว่าประวัติศาสตร์มันน่าเบื่ออีกใหม
การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของผู้อื่นอาจไม่มีกฏหมายหรืออะไำรรับรองได้แต่นั่นเป็นสมบัติของคนต่ำ มันสื่อถึงรากง่าวของบิดามารดาทุกท่านที่คิดจะคัดลอกบทความแปลผม
หากมีความคิดเห็น ขอขอบคุณที่ทุกท่านมองเห็นและคลิกที่รูปดินสอไต้บรรยาย
No comments:
Post a Comment