Can't find it? here! find it

Friday, July 3, 2009

Waffen-SS

Waffen-SS

http://www.ns88.com/shop/images/waffen-ss-flag01.jpg

ระยะเวลา 1933–1945
ประเทศ Nazi Germany
ผู้จัดการ อดอร์ฟ ฮิตเลอร์
สาขาย่อย Schutzstaffel
ชนิดของทหารที่ขึ้นกับSS แพนเซอร์
หน่วยจู่โจมหนัก
กองหทารม้า
กองเดินเท้ัา่
ทหารเดินเขา
ตำรวจ
ขนาด 38 กองและหน่วยรบพิเศซษจำนวนนึ่ง
เป็นส่วนของ ไรซ์ที่สาม
ฐานที่มั่น SS Führungshauptamt, Berlin
สโลแกน Meine Ehre heißt Treue
("เกียรติของฉันคือความภักดี"), และจะถูกจดจำไว้บนใบมีดของฉัน คำขวัญประจำคือ" Blut und Ehre " (เลือดและเกียรติ)
สมรภูมิ สงครามโลกครั้งที่สอง
นายทาร
แม่ทัพ Josef Dietrich
Paul Hausser
Felix Steiner
Theodor Eicke
หน่วยทหาร เอส.เอส. เป็นหน่วยทหารที่ถือกำเนิดมาจาก หน่วยองครักษ์ประจำตัวของอดอฟ ฮิตเลอร์ (Hitler's bodyguard) เป็นหน่วยทหารที่ได้ชื่อว่า มีวินัย มีประสิทธิภาพในการรบที่สูงสุดหน่วยหนึ่งของกองทัพเยอรมัน ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ชื่อภาษาเยอรมัน คือ Waffen SS. หรือ Armed SS. ในภาษาอังกฤษ หรือ หน่วยเอส เอส ในภาษาไทยนั่นเอง หน่วยเอส เอส เป็นเครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ไม่ว่าสถานการณ์จะคับขันสักเพียงใด หน่วยเอส.เอส. จะถูกส่งเข้าไปแก้ไขวิกฤตินั้น และมักจะปฏิบัติภารกิจจนบรรลุผลสำเร็จอยู่เสมอ จนกระทั่งฮิตเลอร์เชื่อว่า หน่วยเอส.เอส. เป็นหน่วยทหารที่มีความสามารถในการแก้ไขปัญหาได้ทุกปัญหา ซึ่งในที่สุดก็นำไปสู่ความจริงที่ว่า หน่วยเอส.เอส. ก็คือมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดี แต่จะสามารถรบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็ด้วยการส่งกำลังที่เพียงพอ แต่ในช่วงปลายของสงคราม การส่งกำลังบำรุงของเยอรมัน ประสบกับความเสียหาย จากการทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตร หน่วยเอส.เอส.ที่มีจิตใจรุกรบ แต่อ่อนล้าจากการกรำศึกมานานกว่าสี่ปี ประกอบกับอาวุธที่เยี่ยมยอด แต่ขาดการส่งกำลังบำรุง จึงต้องประสบกับความพ่ายแพ้ไปในที่สุด
SS หรือ SchutzStaffel ซึ่งมีความหมายว่ากองกำลังป้องกัน (Protection Squad) อยู่ภายใต้การนำของ ไฮน์ริช ฮิมเลอร์ (Heinrich Himmler) อันเป็นบุคคลที่อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำนาซีมีความไว้วางใจมากที่สุดคนหนึ่ง หน่วยเอส.เอส. ตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1923 ในขณะนั้นมีสมาชิกเพียง 280 คน ต่อมาขยายเพิ่มเป็น 1,000 คน พอในปี ค.ศ. 1932 หน่วยเอส.เอส. ก็มีกำลังพลอยู่ถึง 10,000 คน พอถึงช่วงกลางของสงครามโลกครั้งที่สอง หน่วยเอส เอส ก็ขยายกำลังพลออกไปถึง 38 กองพล โดยแต่ละกองพลต่างก็มีกรมย่อยๆ ออกไปอีกเป็นจำนวนมาก ในปี 1939 มีทหารเอส เอส กว่า 35,000 คน ปี 1941 เพิ่มเป็นกว่า 150,000 คน ปี 1943 มีจำนวนกว่า 450,000 ปี 1944 มีกว่า 600,000 คน และปีสุดท้ายของสงคราม คือ ปี 1945 มีกว่า 830,000 คน รวมทั้งหมด มีทหารเอส เอส กว่า 1,000,000 คนในสงครามครั้งนี้ และมีทหารเอส เอส เสียชีวิตและสูญหายตลอดสงครามกว่า 250,000 คน บาดเจ็บอีกกว่า 400,000 คน
http://www.reichslieder.com/1000_wallon_waffen_ss.jpg
กองพลที่มีชื่อเสียงของเอส เอส ก็เช่น

1. กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 1 ลีปสตานดาร์ด
2. กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 2 ดาส ไรซ์
3. กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 3 โทเทนคอฟ
4. กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 5 ไวกิ้ง
5. กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 9 โฮเฮนสเตาเฟน
6. กองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 12 ฮิตเลอร์จูเกน
หน่วยทหารเอส.เอส. จะได้รับการฝึกฝนอย่างหนัก และถูกปลูกฝังอุดมการณ์ของนาซี (NAZI - Nazional Sozialistisch Deutche Arbeiter Partei) ถูกปลูกฝังแนวความคิดเรื่องความเป็นเลิศของชนชาติอารยัน เครื่องแบบของหน่วยนี้ จะเป็นเครื่องแบบสีดำ มีสัญญลักษณ์กระโหลกไขว้ (Totenkopf - Death's Head) อยู่ที่หน้าหมวกและปกเสื้อ แม้ว่าในช่วงแรกๆของการจัดตั้งหน่วย จะมีการกำหนดคุณสมบัติของผู้เข้ารับการฝึกไว้สูงมาก เช่น ควรจะศึกษาระดับมหาวิทยาลัย หรือสูงถึง 180 ซ.ม. แต่เมื่อความต้องการกำลังพลมีมากขึ้น คุณสมบัติก็ได้ถูกลดลง เช่นส่วนสูงลดลงเหลือเพียง 171 ซ.ม. อายุก็เพิ่มขึ้นเป็น 17 - 26 ปี การศึกษาระดับมัธยมปลาย เชื้อชาติอื่นก็รับ เช่นอิตาลี เนเธอร์แลนด์ เป็นต้น
จากการฝึกที่เข้มงวด ทำให้หน่วยเอส.เอส. มีวินัยดีเยี่ยม มีมาตรฐานที่สูงมาก แต่เมื่อยังไม่เกิดสงคราม กองทัพเยอรมัน ก็มองหน่วยเอส.เอส.นี้ว่า มีแต่ภาพลักษณ์ มากกว่าคุณภาพในสนามรบ ความเคลือบแคลงระหว่างกองทัพและหน่วยเอส.เอส. มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อทหารของกองทัพมองว่า หน่วยเอส.เอส. มักจะได้รับอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ดีกว่าและทันสมัยกว่า การตอบโต้จากกองทัพก็คือ หน่วยเอส.เอส.ซึ่งขึ้นสายการบังคับบัญชากับกองทัพ จะถูกจัดไว้เป็นหน่วยสนับสนุน หรือไม่ก็เป็นกำลังหนุน ในการรบในช่วงแรกๆ เมื่อเยอรมันบุกโปแลนด์ หรือเนเธอร์แลนด์ ทำให้หน่วยเอส.เอส.ไม่มีโอกาสได้เข้าทำการรบอย่างจริงจัง และเมื่อต้องเข้าทำการรบ ภารกิจที่หน่วยเอส.เอส.ได้รับมอบหมาย ก็จะเป็นภารกิจที่ยากต่อการปฏิบัติ ทำให้สูญเสียกำลังไปเป็นจำนวนมาก

No comments: