Can't find it? here! find it

Wednesday, January 6, 2010

Origin of Samurai

ประวัติศาสตร์นักสู้ซามูไรเริ่มขึ้นในศตวรรษที่ 11 เมื่อรัฐบาลอ่อนแอ ชาวบ้านตลอดจนขุนนางญี่ปุ่น จึงหันไปพึ่งพาผู้มีฝีมือในเชิงยุทธที่ขนานนามกันว่า "ซามูไร" จากนั้นมาซามูไรก็รุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ "โชกุน" อัครมหาเสนาบดี และ "ไดเมียว" เจ้าผู้ครองนครต่างๆ ของญี่ปุ่น ต่างก็มีซามูไรเป็นกองทัพไว้ประดับบารมี

อาวุธ ประจำกายของซามูไรนั้น ทั่วโลกรู้ดีว่า คือดาบอันคมกริบ ซามูไรบางคนใช้วิธีฝึกฝน ความคมดาบของตน โดยอาศัยร่างของชาวบ้าน สามัญชนเป็นที่ทดสอบ ดังนั้น ในสมัยของโชกุน โตกูงาวะ จึงมีกฎหมายอนุญาตให้ซามูไรเอาศพ ของนักโทษประหารไปใช้รองรับ คมดาบของตนได้


วิธีการก็คือ เอาศพไปมัดติดกับหลักซึ่งทำจากลำไม้ไผ่ จากนั้นนักดาบในชุดซามูไรออกศึก (กามิ ชิโม) ก็จะถือดาบเยื้องย่าง เข้ามาพินิจพิจารณาดูว่า จะฟันส่วนใดของศพจึงจะเหมาะสม เช่นว่า การฟันข้อมือจะง่ายดายที่สุด ส่วนการฟันขาดสะโพก (เรียว กูรูม่า) หรือฟันตัดสองบ่า (ไต-ไต) จะยากที่สุด หลังจากฟันแล้ว ซามูไรก็จะตรวจสอบดาบของตนอย่างละเอียดว่า มีบิ่นหรืองอหรือไม่ เลือดและไขมันที่ติดดาบนั้นมีลักษณะเป็นอย่างใด เสร็จแล้วก็ไปตรวจตราร่องรอยการฟันบนร่างศพ

ซามูไรที่เก่งกาจนั้นต้องมีดาบชั้นดีไว้ ครอบครองครับ เช่น ดาบที่ผลิตจากสำนักตีดาบมีระดับ เช่น ติมบะ โนะ กามิ โยชิมิชิ (ค.ศ.1565-1635) หรือสำนักของ อิโนอูเอะ ชินกาอิ (ราว ค.ศ.1674)

ศิลปะการใช้ดาบต่อสู้อย่างรวดเร็วฉับไวนั้น สร้างชื่อเสียงให้ซามูไรจนใครได้ยินชื่อก็หนาว


แต่...เมื่อถึงกาลเวลาหนึ่ง ดาบซามูไรก็ต้องถูกสยบด้วยอาวุธอื่นอันทรงอานุภาพกว่า

ในปี ค.ศ.1551 หนุ่มนักสู้วัย 20 ปี นาม โอดะ โนบูนางะ ขึ้นเป็นไดเมียว ครองนครเล็กๆ โอวาริ ใกล้กับเมืองนาโงยาในปัจจุบัน เขาได้สร้างวีรกรรม ที่ทำให้ญี่ปุ่นทั้งประเทศตื่นตะลึง นั่นคือสามารถใช้ นักรบเพียง 3,000 คน ยืนหยัดต่อสู้ และพิชิตกองทัพขนาด 25,000 คน ของ อิมะงาวะ ซึ่งเป็นไดเมียว นครใหญ่
โดย อิมะงาวะนั้น คิดการใหญ่ ต้องการเป็นโชกุน และยกกำลังออกปราบปราม เมืองใหญ่น้อย แต่โนบูนางะไม่ยอมก้มหัวให้ เขาใช้กลยุทธ์หลอกเอาทัพ ของอิมะงาวะไปติดกับ ในซอกเขาท่ามกลางหมอกหนา แล้วนำนักรบจำนวนน้อย ของตนถล่มข้าศึกจนราบคาบ

ก่อนหน้านี้ในปี ค.ศ.1542 ชาวโปรตุเกสได้มาถึงญี่ปุ่นเป็นหนแรกเพื่อค้าขาย พวกเขาได้นำปืนยาวอาวุธชนิดใหม่ ที่ชนญี่ปุ่นไม่เคยเห็นมาด้วย เจ้าครองนครต่างๆ ชื่นชมมาก เพราะมันมีพลานุภาพเหนือกว่าหน้าไม้และธนูหลายเท่า และโดยที่พี่ยุ่นนั้นถนัดในเรื่องก๊อบปี้ ดังนั้น จึงมีข้อมูลที่พ่อค้าโปรตุเกสคนหนึ่งบันทึกไว้ว่า เพียงชั่วหกเดือนนับจากที่ได้ลูบคลำปืนเป็นครั้งแรก เหล่าช่างญี่ปุ่นก็สามารถผลิตปืนขึ้นเองได้ถึง 600 กระบอก


ปืนนั้นเป็นอาวุธระยะไกล สามารถสังหารข้าศึกได้แบบไม่ทันได้รู้ตัว ในอมตะวรรณกรรม "ผู้ชนะสิบทิศ" ของ "ยาขอบ" เมื่อ บุเรงนอง จอมทัพพม่า ได้เห็นอานุภาพของปืนเป็นครั้งแรก ก็ยังทรงรำพึงอย่างรันทดพระทัยว่า ต่อแต่นี้ไปคงจะไม่ได้เห็นภาพการต่อสู้ด้วยดาบ หรือทวนอย่างห้าวหาญสมกับเป็นนักรบอีกแล้ว

แม้ นักรบซามูไรหลายคนจะเหยียดหยามนักรบถือปืนว่าขี้ขลาดตาขาว แต่โนบูนางะเป็นขุนศึกประเภทคิดใหม่-ทำใหม่ เขาเรียนรู้อย่างรวดเร็วว่า ยุคแห่งอาวุธทันสมัยได้มาถึงแล้ว และหากเขาต้องการรวบรวมญี่ปุ่นให้เป็นหนึ่งเดียว เขาจำเป็นต้องใช้ปืน

นอกจากปืนแล้ว โนบูนางะยังมียอดขุนพลคู่ใจซ้าย-ขวา คือ โตโยโตมิ ฮิเดโยชิ กับ โตกูงาวะ อิเอยาสุ (สองคนนี้ต่อมาโด่งดังสุดๆ ทั้งคู่) ทำให้โนบูนางะ สามารถแผ่ขยายอำนาจ กว้างขวางออกไปได้อย่างรวดเร็ว แต่แล้วก็พบอุปสรรคสำคัญ ซึ่งมิใช่ กองทัพของไดเมียวใด


หากทว่าเป็นสมณะนักรบแห่งพุทธศาสนา!

ในปี 1571 โนบูนางะ ยกกำลังทัพ 30,000 คน ไปล้อมวัดซากาโมโตบนเขาฮิเออิทาง เหนือของเกียวโต วัดนี้เป็นวัดศักดิ์สิทธิ์ที่สุดทั้งของผู้นับถือพุทธและชินโต แต่พระภิกษุในวัดปฏิเสธไม่ยอมอ่อนน้อม และอพยพชาวบ้านลูกเล็กเด็กแดงทั้งหลาย เข้ามาหลบไว้ภายในวัด


เหตุการณ์ต่อจากนี้ บาทหลวง หลุยส์ ฟรังส์ มิชชันนารีเยซูอิต ได้บันทึกไว้ว่า

"เมื่อ รู้ว่าชาวบ้านทั้งหมดได้ไปปักหลักอยู่ในวัด โนบูนางะก็สั่งการทันที ให้เอาปืนระดมยิง ใช้ไฟเผา และบุกเข้าไปใช้ดาบสังหารทุกคนภายในวัด ไม่ว่าจะเป็นชายหญิงหรือเด็กเล็ก"

และหลังจากนี้ โนบูนางะก็ได้นำกลยุทธ์การรบแผนใหม่มาใช้ โดยดาบซามูไรไม่มีทางเทียบได้เลย

ใน การรบแบบเดิมๆ ของซามูไร พวกเขาจะควบม้าดาหน้าเข้ามา พร้อมกับตวัดไกวดาบในมือ ประจัญบานหํ้าหั่นกันแบบถึงเนื้อถึงตัว  แต่เมื่อพบกับกลยุทธ์ใหม่ของโนบูนางะ โดยเขาจัดวางพลปืนจำนวน 3,000 คนของเขา รับมือทหารม้าซามูไร โดยตั้งแนวเป็นชั้นๆ และไม่ยิงพร้อมกันทีเดียวหมดทุกคน เมื่อแถวหน้ายิงออกไป แล้วก็จะบรรจุกระสุน ระหว่างนั้นแถวที่ 2 และ 3 ก็ยิงออกไปทีละแถวตามลำดับ ยิงออกไป 3-4 ชุด ทัพม้าซามูไรก็ไม่เหลือ


เมื่อเห็นเช่นนั้น วัดอื่นๆ ก็เริ่มตระหนักถึง ความสำคัญของปืน และตั้งต้นสร้าง โรงงานผลิตปืนเป็นการใหญ่ โดยเฉพาะเมืองอิสระ ซากาอิ ถึงกับเป็นแหล่งอุตสาหกรรมค้าขายปืน ให้กับผู้ซื้อทุกรายไม่มีเกี่ยง ในปี 1575 นั้น ถึงกับกล่าวกันว่า ทัพของโนบูนางะทันสมัย ยิ่งกว่าทัพขนาดเล็ก ของยุโรปเสียอีก

ถัดไปคือ วัดฮอนงันจิ ในโอซากา ซึ่งเป็นวัดใหญ่ มีสานุศิษย์ที่รํ่ารวยมากมาย มีขุมกำลังซามูไรที่สามารถ ซึ่งก็คือ ภิกษุสมณะของวัดนั่นเอง บรรดาหลวงพ่อและหลวงพี่แห่งวัดนี้ ใช้เวลานอกเหนือการปฏิบัติธรรม มาฝึกฝนการใช้ดาบและธนูอย่างชํ่าชอง จนต่อต้านกองทัพปืนยาวของโนบูนางะได้นานถึง 11 ปี! โนบูนางะจึงเปลี่ยนไปใช้การบุกทางทะเล โดยใช้ปืนใหญ่ขนาดเล็ก ระดมยิงจากเรือเหล็ก ซึ่งยุทธวิธีนี้ลํ้าหน้ากว่าการรบทางเรือของอเมริกาในสงครามกลางเมืองถึง 300 ปีทีเดียว !!


ดี แต่ว่าพระจักรพรรดิทรงเห็นว่า วัดใหญ่และสำคัญแห่งนี้จะไม่รอดพ้นความพินาศ จึงยื่นพระหัตถ์มาไกล่เกลี่ย โดยให้โนบูนางะครอบครองโอซากาได้ และภิกษุในวัดฮอนงันจิก็ยังปฏิบัติธรรมต่อไปอย่างอิสระได้เช่นกัน ซึ่งพระท่านก็ยินดีที่ไม่เสียหน้าต้องยอมแพ้


ถึงจุดนี้ ถ้าจะกล่าวว่า นักดาบซามูไรขนานแท้รุ่นสุดท้าย ที่ยืนหยัดต่อสู้กับอาวุธไฮเทค (ในยุคนั้น) ได้อย่างทรหด ก็คือ สมณะแห่งพุทธศาสนา นั่นเอง


 

ใน ที่สุดโนบูนางะก็มีอำนาจสูงสุดในญี่ปุ่น เขามิได้เก่งในเชิงรบอย่างเดียว หากการบริหารก็เยี่ยมยอด เขาบูรณะวังหลวงให้แก่จักรพรรดิ เพิ่มรายได้ประจำปี ให้พระองค์ เพื่อให้สมแก่ พระเกียรติ เขาสนับสนุนโชกุน โยชิอากิ แต่เมื่อโชกุนมีทีท่าไม่น่าไว้ใจ เขาก็เนรเทศไปเสียจากนครหลวง เขาเคยกล่าวกับบาทหลวงฟรังส์ว่า

"ไม่ว่าจักรพรรดิหรือโชกุน ข้าก็ควบคุมได้อย่างสมบูรณ์หมดสิ้นแหละ"

นอกจากนี้ โนบูนางะ ยังเสริมสร้างความแข็งแรง ในด้านเศรษฐกิจ และค้าขายให้กับญี่ปุ่น ด้านการทหาร ก็มีทหารม้าชั้นดีถึง 20,000 นาย

แต่วาระสุดท้ายของเขา ก็มาถึงอย่างกะทันหันในปี 1582 ขณะที่เขาพักผ่อน อยู่ในที่พำนักในเกียวโต แวดล้อมด้วยทหารในสังกัด ของนายพลอาเคชิ มัตสุฮิเดะ ผู้ซึ่งฝักใฝ่ในองค์จักรพรรดิ และต้องการโค่นล้มโนบูนางะ บาทหลวงฟรังส์ บันทึกเหตุการณ์ตอนนี้ไว้ว่า


"เหล่า ทหารของอาเคชิ กรูผ่านประตูเข้าไปอย่างรวดเร็วโดยไม่มีการขัดขวาง เนื่องจากไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดการกบฏ โนบูนางะเพิ่งล้างหน้าล้างตาหลังตื่นนอนเช้าตรู่ ทหารที่ทรยศได้ยิงธนูเสียบสีข้างของเขา โนบูนางะกระชากลูกธนูออก แล้วฉวยดาบโค้งยาวออกมาต่อสู้

แต่ อีกเพียงครู่เดียวก็ถูกยิงเข้าที่แขนอีก เขากลับเข้าไปในห้องแล้วปิดประตูลั่นดาล บางคนกล่าวว่าเขากระทำฮาราคีรี แต่บางคนก็เชื่อว่าเขาจุดไฟเผาห้องและตายในกองเพลิง เรารู้แน่นอน แต่เพียงว่า บุรุษผู้ที่แม้แต่ทารกก็ยังเงียบเสียงเพียงได้ยินชื่อเขา ได้ตายไปในที่นั้นโดยไม่เหลือร่องรอย ใดๆกระทั่งผมสักเส้นเดียว..."

จุด จบของผู้ที่สยบนักรบซามูไรได้อย่างราบคาบ ช่างน่าเศร้าเสียนี่กระไร หรือเป็น ผลกรรมตามสนองจากการที่เขาได้เข่นฆ่าอย่างทารุณ ต่อสมณะนักสู้ในพระพุทธศาสนา... หรือซามูไรรุ่นสุดท้ายนั้นเอง

No comments: