Can't find it? here! find it

Tuesday, April 22, 2008

10 reason of the Alexander's glory

พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช เป็นอีก 1 บุคคลในประวัติศาสตร์ที่โด่งดังมาก
มีภาพยนตร์เกี่ยวกับพระองค์ออกมามากมาย และชื่อเสียงของพระองค์ก็เป็น
ที่รู้จักทั่วโลก คิดว่าท่านเป็นบุคคลที่ทรงคุณค่ามาก และมีชีวิตที่น่าสนใจสุดๆ
พอเข้าไปเห็นหัวข้อ 10 เหตุผลที่อเล็กซานเดอร์มหาราชเป็นอย่างทุกวันนี้ ใน
เว็บไซต์ Livescience ก็สนใจเข้าไปอ่านทันที และแปลมาให้น้องๆ ได้อ่านกัน
อีกต่อด้วย จะได้รู้จักพระองค์มากขึ้นไงละ

10 ปรัชญาแบบอริสโตเติล
จะมีบุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนไหนที่โชคดีพอจะได้นักปรัชญาที่มีชื่อเสียง
ที่สุดคนหนึ่งของโลก อย่าง “อริสโตเติล” มาเป็นติวเตอร์ส่วนตัว ใช่แล้ว
อเล็กซานเดอร์นั่นเอง เมื่ออายุได้ 13 ปี พระองค์ก็เริ่มเรียนหลักปรัชญา
กับนักปราชญ์คนนี้แล้ว และอริสโตเติลยังเพิ่มหลักสูตรดีๆ อย่างภูมิศาสตร์
การเมือง การทหาร และการแพทย์ให้พระองค์อีกด้วย อย่างนี้จะไม่เก่งยังไงไหวเนี่ย

9 ม้าชื่อ Bucephalus
พ่อของอเล็กซานเดอร์ซื้อม้าตัวนี้ให้กับพระองค์ และตั้งชื่อมันว่า
บูเซฟาลุส (Bucephalus) ม้าตัวนี้มีราคาถึง 13 ทาเล้นท์ (1 ทาเล้นท์ใน
สมัยนั้นเท่ากับทองคำ 27 กิโลกรัม) และมันก็พยศอย่างน่ากลัวชนิด
ที่ไม่มีใครจับตัวมันได้ ตามคำบอกเล่าทางประวัติศาสตร์บอกไว้ว่าเมื่อ
เห็นบูเซฟาลุส อเล็กซานเดอร์เรียนรู้ทันทีว่าการพยศของมันเกิดขึ้น
เพราะมันตระหนกกับเงาของตัวเอง (แปลกดีเนอะ) พระองค์จึงขี่มัน
ตรงไปที่ดวงตะวัน เพื่อให้เงาของมันตกไปอยู่ทางด้านหลังตัว (มันจะ
ได้มองไม่เห็นนี่เอง ฉลาดจริงๆ) เมื่อพระเจ้าฟิลิป พระบิดาเห็นเข้า ก็ตรัส
ออกมาว่า “อเล็กซานเดอร์ เจ้าคงต้องหาอาณาจักรที่ใหญ่เท่ากับความ
ทะเยอทะยานของเจ้าเสียแล้ว ข้าเกรงว่าอาณาจักรมาซีโดเนียคงจะเล็ก
เกินไปสำหรับเจ้า” ว่ากันว่าเจ้าม้าบูเซฟาลุสได้ออกเดินทางร่วมรบเคียง
ข้างอเล็กซานเดอร์จวบจนวาระสุดท้ายของมัน ซึ่งมันตายลงเพราะร่วมรบ
ในสงครามปากีสถาน และสัตว์ที่มันต่อสู้ด้วยในครั้งนั้นก็คือ ช้าง

8 ความเด็ดขาดที่มาพร้อมความโหดร้าย
พระเจ้าฟิลิป พระบิดาของอเล็กซานเดอร์ ถูกลอบสังหารจากคนสนิท
ของพระองค์เอง ในงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่งานหนึ่ง ซึ่งอเล็กซานเดอร์
ถูกมองว่าเกี่ยวข้องกับการปลงพระชนม์ในครั้งนั้นด้วยก็จริง แต่พระองค์
ไม่สนใจคำครหา แต่มุ่งมั่นกับการต่อสู้กับศัตรู และยังแนะนำให้พระมารดา
พระนางโอลิมปิอัส (Olympias) ประหารชีวิตทารกชายคนล่าสุดที่เกิดจาก
พระเจ้าฟิลิป และนางสนมอีกด้วย อเล็กซานเดอร์ต้องเผชิญกับการต่อต้าน
จากเมืองต่างๆ เป็นเวลาถึงสองปีเต็ม และอย่างไร้ความเมตตาปรานีใดๆ
พระองค์จัดการสังหารผู้คนกว่า 30,000 คนที่ต่อต้านพระองค์ พวกที่รอด
ชีวิตก็ถูกจับตัวเป็นทาส การทำเช่นนี้เท่ากับเป็นการ “เชือดไก่ให้ลิงดู”
และทำให้พระองค์สามารถกุมอำนาจสูงสุดไว้ได้ (แบบโหดๆ เนอะ)

7 “Phalanx” สไตล์การรบที่เพอร์เฟ็คท์ของกองทัพมาซีโดเนียน
แผนการรบที่เรียกได้ว่ามีชื่อเสียงที่สุดของชาวมาซีโดเนียน เรียกกันว่า
“Phalanx” สร้างขึ้นโดยพระเจ้าฟิลิป การรบนี้ใช้ทหารแบบ 16*16 ยืนรวม
ตัวกัน ทุกคนถือโล่ และ Sarisses ซึ่งก็คือ หอกที่มีความยาวถึง 20 ฟุต
ทำจากไม้คอร์เนล แถวหลังของกองทัพจะถือหอกชี้ขึ้นฟ้า ส่วนแถวหน้า
ชี้หอกไปทางด้านหน้า และเมื่อเคลื่อนตัว กองทัพจะเคลื่อนไปพร้อมๆ กัน
ไม่มีแตกแถว ซึ่งนอกจากสไตล์การรบแบบ “Phalanx” อเล็กซานเดอร์ได้เพิ่ม
วิธีการรบ อย่างการใช้ไฟ นักธนู และการรบบนหลังม้า และด้วยสไตล์การรบ
ที่เด่นเป็นเอกลักษณ์เช่นนี้ ทำให้กองทหารของพระองค์ยิ่งใหญ่เหนือใคร
ที่สำคัญคือตามปกติแล้ว ชาวมาซีโดเนียนจะหยุดรบในช่วงเก็บเกี่ยว แต่อเล็ก
ซานเดอร์ทรงจ่ายเงินพวกทหารให้รบอย่างเต็มเวลา และนั่นทำให้กองทหาร
ของพระองค์ต้องผ่านการฝึกปรืออย่างเข้มงวด และกลายเป็นมืออาชีพด้าน
การรบยิ่งกว่าทหารจากดินแดนใด

6 การเดินทางผ่าน Hellespont
หลังจากครอบครองมาซีโดเนีย และกรีซ อเล็กซานเดอร์เริ่มมอง
การณ์ไกลถึงการครอบครองเอเชีย และจักรวรรดิเปอร์เซียน ซึ่งขณะนั้น
ปกครองโดยพระเจ้าดาเรียสที่สาม (Darius III) อเล็กซานเดอร์พร้อมด้วย
ทหารม้าชาวกรีก 5,000 คน และทหารเดินทัพ 32,000 คน บุกเข้าสู่เปอร์เซีย
และข้ามช่องแคบที่คั่นระหว่างยุโรปและเอเชีย ที่มีชื่อว่า Hellespont (ตอนนี้เรียก
กันว่า Dardanelles) และจากเรือพระที่นั่ง อเล็กซานเดอร์ขว้างหอกของพระ
องค์ลงสู่ชายหาด ทันทีที่พระบาทของพระองค์แตะผืนดิน พระองค์ดึงหอกนั้น
ออกจากทราย และประกาศว่านี่คือดินแดนที่พระองค์จะต้องเอาชนะด้วยหอกด้ามนี้

5 ผู้แก้ปมกอร์ดิอุส
จากการบอกเล่าของพวก Phrygians ซึ่งตอนนี้อาศัยอยู่ในตอนกลาง
ของประเทศตุรกี พวกเขามีตำนานซึ่งพยากรณ์โดยนักพยากรณ์ชื่อดัง
ที่ว่าผู้ที่จะเป็นกษัตริย์ก็คือชายคนแรกที่นั่งเกวียนเข้ามาในเมือง และบุค
คลผู้นี้ก็คือ กอร์ดิอุส (Gordius) ชาวนาผู้ยากจน หลังการสถาปนา กอร์ดิอุส
ได้อุทิศเกวียนที่เขานั่งมาแก่เทพเจ้าซีอุส และผูกมันไว้กับเสาด้านนอกวัด
ศักดิ์สิทธิ์ เชือกที่เขาผูกนั้นเป็นเชือกที่ว่ากันว่าเหนียวแน่นทนนาน และเชื่อกันว่า
ใครที่แก้ปมเชือกได้จะได้ครอบครองเอเชียทั้งทวีป อเล็กซานเดอร์ไม่พลาด
โอกาสนี้อย่างแน่นอน แต่เมื่อพบว่าเชือกนั้นเหนียวแน่นกว่าที่พระองค์คิด
ด้วยความโกรธจัด พระองค์ใช้ดาบตัดมันขาดออกจากกัน พร้อมประกาศว่า
“ข้าคลายปมมันได้แล้ว” ("I have loosed it!") (ก็แหงละ พระองค์ตัดขาด
เลยนี่นา - - “) หลังจากนั้น ปมกอร์ดิอุสได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของ
ปัญหาที่ต้องแก้ไขด้วยวิธีที่รวดเร็วและไม่เน้นกรอบประเพณีนัก

4 เชื่อกันว่าเป็นบุตรแห่งเซอุส
หลังจากเอาชนะพวกเปอร์เซียนได้ในสงคราม Issus อเล็กซานเดอร์ตั้งใจ
จะเดินทางเข้าไปในอียิปต์ ซึ่งเป็นดินแดนที่ปกครองโดยพวกเปอร์เซียนมากว่า
200 ปี ชาวอียิปต์ต้องจ่ายภาษีอย่างหนัก พวกเขาจึงดีใจมากเมื่ออเล็กซานเดอร์จัด
การพวกเปอร์เซียนได้ และยกย่องพระองค์เป็นฟาโรห์เลยทีเดียว ในช่วงนั้นเอง
วัฒนธรรมของอียิปต์ได้ผสมผสานกับกรีซ และมาซีโดเนียน และดำรงอยู่ต่อ
มากว่า 300 ปี และระหว่างที่อยู่ในอียิปต์ อเล็กซานเดอร์เดินทางข้ามทะเลทราย
เพื่อไปยังแท่นบูชาที่ชื่อ “Zeus Ammon” ว่ากันว่าระหว่างการเดินทาง พระองค์
ได้ผู้นำทางอย่างเหยี่ยว และยังได้รับพรจากสายฝน และที่ Zeus Ammon
วิหารศักดิ์สิทธิ์ของชาวอียิปต์ บรรดานักบวชเชื่อว่าพระองค์เป็นบุตรของเทพ
เจ้าเซอุส และไม่ว่าอเล็กซานเดอร์จะเชื่อเรื่องนี้หรือไม่ หรือพระองค์จะเป็น
บุตรของเทพเจ้าจริงๆ หรือเปล่า ความเชื่อนี้ก็ทำให้เขาได้รับความเคารพนับ
ถือจากชาวอียิปต์อย่างล้นหลามเลยทีเดียว

3 เมืองอเล็กซานเดรีย
นอกจากจะทำให้เมืองมาร์ซีโดเนียเจริญรุ่งเรืองแล้ว อเล็กซานเดอร์ยัง
ได้สร้างเมืองใหม่อีกกว่า 20 เมือง และตั้งชื่อเมืองเหล่านี้ตามชื่อของ
พระองค์ และ 1 ในเมืองที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือ “อเล็กซานเดรีย” เมือง
ที่อยู่บนชายฝั่งแม่น้ำไนล์ อเล็กซานเดอร์ได้พัฒนาเมืองจนกลายเป็น
เมืองแห่งอารยธรรม และกลายเป็นเมืองใหญ่ที่ใครๆ ก็รู้จัก นอกจากนี้
พระองค์ยังสร้างท่าเรือ โรงเรียน โรงละคร และห้องสมุดที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
และที่พระองค์ทำได้ดีที่สุดคือ แม้ว่าอเล็กซานเดรีย ซึ่งเป็นเมืองของ
อียิปต์ จะได้ชื่อว่าปกครองโดยกรีก แต่อเล็กซานเดอร์อนุญาตให้พวกเขา
รักษาวัฒนธรรมของตัวเองไว้ได้ เรียกว่าเป็นการถนอมน้ำใจสินะ

2 เอาชนะพวกเปอร์เซียน
หลังจากยึดครองอียิปต์ได้แล้ว อเล็กซานเดอร์เริ่มไล่ล่าจักรพรรดิเปอร์เซียน
Darius III ในการรบครั้งใหญ่ Darius III พร้อมด้วยทหารสองแสนนาย พร้อม
อาวุธครบมือเผชิญหน้ากับ กองทัพของอเล็กซานเดอร์ ซึ่งมีนายทหารเพียง
47,000 คน แต่อย่างไม่น่าเชื่อ อเล็กซานเดอร์บุกฝ่าเข้าสู่ใจกลางกลุ่ม และ
รบตัวต่อตัวกับ Darius III ซึ่งในที่สุดได้หลบหนีจากหลังม้า หนีไปพร้อมคนสนิท
(ซึ่งภายหลังหักหลังและลอบสังหารพระองค์) หลังจากได้ชัยชนะเหนือเปอร์เซียน
อเล็กซานเดอร์กลายเป็นกษัตริย์ผู้มีอำนาจเหนือทวีปเอเชียพระองค์ทรงยึด
เมืองหลวงของเปอร์เซีย “บาบิโลน” และปกครองด้วยหลักการของพระองค์เอง
หลังจากนั้น พระองค์ได้ซึมซับวัฒนธรรมเปอร์เซียน และอภิเษกสมรสกับนาง
รำชาวเปอร์เซียนชื่อโรซานน์ การกระทำของพระองค์เป็นสิ่งที่แปลกมากสำหรับ
ผู้ชนะสงคราม และทำให้ทั่วโลกได้เรียนรู้การปรานีต่อผู้แพ้

1 เข้าสู่อินเดีย
เป้าหมายที่อเล็กซานเดอร์ต้องการไปต่อคือเข้าสู่อินเดีย และเอาชนะ
ยึดครองดินแดนแห่งนี้ กษัตริย์พอร์รัส แห่งอินเดีย ใกล้จะพ่ายแพ้ต่อ
อเล็กซานเดอร์แล้ว แต่อากาศ และภูมิประเทศแบบภูเขาทำให้พระ
องค์ชะงักการรบ และเริ่มตระหนักว่าการยึดครองเอเชียท่าทาง
จะไม่ง่ายอย่างที่พระองค์คิด เสียแล้ว ทหารของพระองค์เหน็ดเหนื่อย
และต้องการจะเดินทางกลับประเทศ เพื่อพบกับความสุขที่ไม่เคยมีมา
ยาวนาน ในที่สุด อเล็กซานเดอร์ก็ยอมแพ้ต่อทหารของพระองค์เอง
และเดินทางกลับประเทศ อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจที่จะเดินทางกลับเ
ปอร์เซียด้วยทิศทางใหม่เป็นการตัดสินใจผิดที่สุดของพระองค์ ทหารกว่า
15,000 นายต้องเสียชีวิตที่ทะเลทราย Gedrosan ทะเลทรายที่ร้อนที่สุด
แห่งหนึ่งของโลก การเดินทางครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของอเล็กซาน
เดอร์เช่นกัน ในที่สุด พระองค์ทรงป่วยหนัก และเสียชีวิตในอีกไม่กี่วันต่อมา
เมื่ออายุเพียง 33 ปีเท่านั้น

แต่แม้ว่าพระองค์จะไม่สามารถพิชิตทวีปเอเชียได้สำเร็จ
ความยิ่งใหญ่ของพระองค์ก็ตราตรึงอยู่ในใจของคนทั่วโลก

No comments: