Can't find it? here! find it

Thursday, March 27, 2008

หมาสวดมนต์ คนแห่ดู-แน่นวัด



หมาสวดมนต์ คนแห่ดู-แน่นวัด

คนแห่พิสูจน์ "หมาสวดมนต์"แน่นวัด เผยเป็นพันธุ์ชิวาวาพระตั้งชื่อ "โคนัน" เพราะขอบตาคล้ายใส่แว่นเหมือนการ์ตูนยอดฮิตญี่ปุ่น ทุกวันเวลาพระเริ่มสวดจะทำท่ายืนด้วยสองขาหลัง ส่วนขาหน้ายกขึ้นประกบเหมือนคนพนมมือสวดมนต์ สร้างความประทับใจให้ผู้พบเห็นจนพูดปากต่อปากและแห่มาพิสูจน์แน่นวัดในเมืองโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น พระเตรียมฝึกให้นั่งสมาธิเป็นลำดับต่อไปเมื่อวันที่ 24 มี.ค. สำนักข่าวเอพีและเอเอฟพีรายงานว่า ชาวเมืองนาฮา จังหวัดโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น แห่ไปยังวัดนิกายเซน ชูริ-คันนันโดะ เพื่อดู "หมาสวดมนต์" ซึ่งกลายเป็นดาราดังประจำเมือง ให้เห็นกับตาตัวเอง โดยสุนัขตัวดังกล่าวเป็นพันธุ์ชิวาวา เพศผู้ อายุปีครึ่ง ชื่อเจ้า "โคนัน" ที่ทางวัดเลี้ยงเอาไว้ มีสีขาวสลับดำ ตรงรอบขอบตาเป็นสีดำดูเหมือนคนใส่แว่น แบบตัวละคร "โคนัน ยอดนักสืบจิ๋ว" การ์ตูนยอดฮิตของญี่ปุ่นพระโยอิ โยชิคูนิ เจ้าอาวาสวัดเซนชูริ-คันนันโดะ กล่าวว่า ทุกๆ วันเวลาพระเริ่มสวดในโบสถ์เจ้าโคนันจะเข้ามานั่งด้วย จ้องมองพระพุทธรูปในวัด พร้อมกับทำท่ายืนด้วยขาหลัง ส่วนขาหน้าทั้งสองขาจะยกขึ้นมาประกบกันเหมือนเวลาคนเราพนมมือสวดมนต์ เรียกเสียงฮือฮาจากบรรดาญาติโยมที่มาพบเห็นและบอกกันไปปากต่อปาก จนปัจจุบันมีทั้งชาวบ้านและนักท่องเที่ยวแห่มาพิสูจน์ด้วยตาตัวเองว่า โคนันสวดมนต์ได้จริงหรือไม่ "ทุกวันนี้สถิติคนที่มาที่วัดเพิ่มขึ้นมากกว่าในอดีตถึง 30 เปอร์เซ็นต์ โคนันใช้เวลาเรียนรู้หัดทำท่าสวดมนต์ได้ภายใน 2-3 วันเท่านั้นเอง อาตมาคิดว่ามันทำแบบนี้เพราะเห็นอาตมาทำทุกวันเลยอยากทำตามอย่างบ้าง หรือไม่ก็อาจทำเพื่อขอบคุณที่วัดเราคอยดูแลมัน" พระโยอิกล่าว และว่า ขณะนี้กำลังทดลองฝึกให้โคนันนั่งสมาธิ แต่แน่นอนว่าไม่ใช่นั่งขัดสมาธิเหมือนคน เพียงแค่อยากให้มันนั่งนิ่งๆ อยู่เฉยๆ ในช่วงที่พระนั่งทำสมาธิเท่านั้นด้านนายคาซูโกะ โอชิโร วัย 71 ปี ชาวบ้านที่มาทำบุญสวดมนต์ที่วัดชูริเป็นประจำ กล่าวว่า สิ่งที่โคนันทำนั้นทั้งขำและทั้งแปลก ถ้ามีใครมานั่งทับที่ประจำของมันขณะสวดมนต์มันจะออกอาการหงุดหงิดฉุนเฉียว ในแต่ละสัปดาห์มีคนมาที่วัดเพื่อขอถ่ายรูปคู่กับโคนันจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น

Monday, March 10, 2008

เรื่องที่คุณจะต้องคิดให้มาก เมื่อดูความก้าวหน้าทางการแพทย์จากสื่อYou have to get to know about.......

เรื่องที่คุณจะต้องคิดให้มาก เมื่อดูความก้าวหน้าทางการแพทย์จากสื่อ -=Byหมอแมว=-

เรื่องที่คุณจะต้องคิดให้มาก เมื่อดูความก้าวหน้าทางการแพทย์จากสื่อ -=Byหมอแมว=-

เรื่องที่คุณจะต้องคิดให้มาก เมื่อดูความก้าวหน้าทางการแพทย์จากสื่อ -=Byหมอแมว=-

เคยสังเกตไหมครับ ว่าเวลาคุณไปอ่านข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์บางอย่างเข้าแล้วพบว่ามันเป็นเรื่องที่น่าสนใจเอามากๆ จากนั้นคุณก็เอาเรื่องนี้ไปคุยหรือปรึกษากับแพทย์ที่คุณไปรักษาอยู่ แต่ปรากฎว่าแพทย์ผู้นั้นไม่ค่อยให้ความสนใจ หรือไม่ก็แสดงลักษณะที่ว่าไม่เชื่อในเรื่องนั้นๆ

หลายท่านเข้าใจว่าแพทย์ผู้นั้นไม่สนใจติดตามข่าวสารและไม่เพิ่มพูนความรู้ให้ตนเอง หรือมิฉะนั้นก็ไม่รู้จักอ่านหนังสือพิมพ์

แต่รู้หรือไม่ครับว่าบางครั้งบางคราว เรื่องต่างๆที่คุณได้รับจากสื่อสารมวลชนนั้นมันมีจุดอ่อนบางประการอยู่จนทำให้แพทย์ไม่สนใจเรื่องนั้นๆ เรามาดูเหตุผลกันครับ

1. คนที่เขียนเรื่องนั้น อ่านเนื้อหาไม่ครบและสรุปผิดไปเองตั้งแต่ต้น
รูปที่ผมเอามาลงในกระทู้คือตัวอย่างแรกครับ เป็นลักษณะที่อาจจะสร้างความเข้าใจผิดได้หากคนที่อ่านไม่ใช่ผู้ที่ทำงานทางด้านการแพทย์ครับ
ในการเขียนบทความทางวิชาการนั้นจะมีส่วนเนื้อหาเต็มและอีกส่วนหนึ่งที่เป็นส่วนสรุปย่อความเอาไว้ให้คนที่สนใจได้อ่านก่อนว่าเป็นเรื่องที่ต้องการหรือไม่...เป็นที่น่าเสียดายที่ว่าการเขียนข่าวหรือเล่าข่าวหลายๆครั้งนั้นเป็นการเอาแค่ส่วนที่เป็นส่วนย่อความมาเล่าและวิจารณ์ต่อโดยไม่ได้เข้าไปอ่านต้นฉบับจริง ดังนั้นการวิจารณ์ที่ตั้งบนพื้นฐานของเรื่องที่ไม่สมบูรณ์จึงอาจจะก่อให้เกิดผลเสียได้
หลายคนคงสงสัยนะครับว่าในเมื่อเป็นย่อความแล้ว ทำไมจึงจะมีเนื้อหาสาระที่ผิดเพี้ยนไปได้มาก
ตัวอย่างคือจากรูปข้างต้นครับ เป็นรูปที่ผมเก็บมาจากบทความเรื่อง "Risk factors of perioperative death at a university hospital in Thailand: a registry of 50,409 anesthetics" จากวารสารAsian Biomedicine ฉบับกุมภาพันธ์2551 ในนั้นกล่าวถึงการวิจัยเก็บข้อมูลเพื่อหาว่าผู้ที่ตายในระหว่างการผ่าตัดนั้นมีปัจจัยเสี่ยงอะไร
ตรงที่ผมขีดเส้นแดงไว้ เป็นส่วนที่แปลเป็นไทยห้วนๆได้ว่า การใช้ยาสลบที่มีชื่อว่าDesfluraneเสี่ยงต่อการตายระหว่างการผ่าตัดมากกว่าปกติ6.64เท่า ส่วนการใช้ยาสลบที่ชื่อว่าNitrous oxide เสี่ยงต่อการตายระหว่างการผ่าตัดน้อยกว่าปกติ 0.38เท่า ... ฟังดูแล้วทำให้รู้สึกว่าเจ้ายาDesfluraneเป็นยาที่น่ากลัวและไม่น่าใช้เอาเสียเลย พาลให้สงสัยไปว่าทำไมแพทย์ยังใช้ยาที่น่ากลัวอย่างนี้... แถมไปว่าถ้าใครตายระหว่างผ่าตัดแล้วแพทย์ใช้ยานี้อาจจะเกิดจากความเลินเล่อไปใช้ยาอันตรายหรือเปล่า
แต่ในความเป็นจริงการแปลอย่างที่ว่านั้นถ้าเป็นแพทย์จะเฉยๆครับ เพราะก็จะอ่านเหตุผลต่อไป ซึ่งก็มีบอกในหน้าท้ายๆว่า เจ้ายาDesfluraneนี้จะถูกใช้ในผู้ป่วยรายที่มีอาการหนักมากๆ ... ซึ่งผู้ป่วยในกลุ่มนี้มีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตมากกว่ากลุ่มที่ใช้ยาสลบกลุ่มNitrous Oxideตัวเดียวอยู่แล้ว

ดังนั้นหากข่างนั้นๆมาจากการอ่านเฉพาะบทคัดย่อหรือสรุปความเพียงอย่างเดียว โอกาสที่จะผิดพลาดก็มีสูงครับ

2. ข่าวลงไม่ตรงกับความจริง
ไม่ว่าข่าวนั้นจะเขียนว่าสัมภาษณ์มาจากหมอโดยตรงหรือลอกมาจากบทวิจัยโดยตรง ก็ควรต้องชั่งใจเสมอครับ เพราะว่าบางครั้งข้อมูลที่ลงนั้นผิดหรือคลาดเคลื่อนไปจากความจริง ... เพียงแค่คำเดียวที่ผิดไป บางครั้งใจความก็เปลี่ยนไปได้มาก
ง่ายๆก็อย่างตัวเลข เขียนศูนย์เพิ่มหรือขาดไปตัวเดียวก็ผิดไปจากความจริงได้
กรณีนึงที่ลงในหนังสือพิมพ์แล้วพอแพทย์ไปอ่านแล้วเกิดความสงสัยก็อย่างเช่นกรณีนี้ครับ

http://www.bangkokbiznews.com/2007/11/19/WW54_5401_news.php?newsid=202260
"รพ.จุฬาทดสอบวิธีใหม่รักษาไต"
"ทำให้การรักษาไม่ดีเท่าที่ควร จึงศึกษาหาดัชนีการตรวจวินิจฉัยใหม่ และพบว่า "แมกนีเซียม" ที่พบในเลือด สัมพันธ์กับภาวะไตอักเสบเช่นกัน
ปริมาณแมกนีเซียมในเลือด สามารถบ่งชี้ถึงอัตราการตายของเนื้อไตตั้งแต่ 5% ขึ้นไป ในทางปฏิบัติแพทย์สามารถตรวจดูดัชนีทั้งสองควบคู่กันคือ คริอาตินินและแมกนีเซียม สำหรับวินิจฉัยผู้ที่เป็นโรคไตในขั้นต้น "

อาจารย์ที่ทำวิจัย เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านนั้นโดยฉพาะ ข่าวที่ลงก็ลงได้ละเอียดน่าเชื่อถือ ... ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาด ไม่น่าจะเป็นการสร้างข่าว

แต่แพทย์บางท่านเกิดความสงสัยว่าเป็นไปได้จริงหรือ เพราะว่าปกติแล้วมีหลายโรคที่พบได้บ่อยที่ทำให้ค่าแมกนีเซียมใน"เลือด"ผิดปกติได้จนไม่น่าจะเอามาตรวจได้อย่างชัดเจนอย่างในข่าว
... แต่หากเฉลียวใจสักนิดนึงแล้วไปหางานวิจัยที่อาจารย์ท่านนี้เคยทำ จะเห็นว่างานที่เกี่ยวกับเรื่องนี้จะเป็นเรื่องการตรวจค่าที่เรียกว่า FE magnesium ซึ่งแปลได้ว่าสัดส่วนของแมกนีเซียมที่ถูกขับออกจากร่างกาย ... ซึ่งจะต้องมีการเก็บเอาปัสสาวะไปตรวจหาค่าแมกนีเซียมด้วย ไม่ใช่การเจาะเลือดดูค่าในเลือดแต่เพียงอย่างเดียวแต่อย่างใด

เรื่องนี้อาจจะดูเล็กน้อยครับ แต่ในความเป็นจริงมีคนที่ไปตรวจร่างกายพบค่าบางค่าผิดปกติไปเล็กน้อย ประกอบกับตนเองไปอ่านเจอเรื่องบางเรื่องเกี่ยวกับค่านี้เข้า พลอยเป็นกังวลโดยไม่จำเป็นและต้องไปแสวงหาการตรวจเพิ่มเติมเป็นที่สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ

3. ต่างประเทศกับประเทศไทย
บางสิ่งบางอย่างที่เราต้องรู้ไว้คือ โรคของคนไทยไม่ได้เหมือนกับโรคของชาวตะวันตกไปซะทุกโรค หลายโรคที่ทางนั้นมีแต่บ้านเราไม่มี และหลายโรคที่บ้านเรามีแต่ทางนั้นถือเป็นของหายาก
ข่าวเรื่องความก้าวหน้าทางการแพทย์จำนวนมาก เป็นการดึงข่าวจากต่างประเทศมาแปลโดยตรง ดังนั้นหลายๆครั้งเรื่องที่ดูใหญ่และน่ากลัวในบ้านเขา อาจจะเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือไม่ค่อยมีความสำคัญในประเทศไทยเลยก็ได้ครับ

4. คนเราชอบของแปลก
ที่ข่าวเป็นข่าว ก็เนื่องมาจากมันให้ผลที่ขัดกับความรู้สึกสามัญ หรือขัดกับความเชื่อเดิมๆที่เคยมีมา
เรื่องทางการแพทย์ก็เช่นกันครับ เรื่องอะไรที่แปลกๆก็ย่อมเอามาเขียน สังเกตเห็นอะไรผิดปกติก็เอามาเขียน(เพราะของที่ปกติเจอบ่อยๆ ก็ย่อมรู้จากหนังสืออยู่แล้ว)
หรืองานวิจัยถ้าปกติเหมือนเดิม ก็ไม่ค่อยมีคนสนใจ แต่ถ้ามันแปลกไปจากความเชื่อความรู้เดิมๆ ก็จะมีคนสนใจเอาไปกระจายข่าว
เอาเรื่องง่ายๆที่เห็นเด่นชัดครับ โรคกระเพาะธรรมดาๆนี่เอง
เวลารักษาไม่หายบางคนก็ไปกังวลว่าจะเป็นมะเร็งหรือเปล่า จะติดเชื้อไหม จะมีภาวะหรือโรคต่างๆที่ซ่อนอยู่หรือไม่ มีบทความที่พูดถึงอาการโรคกระเพาะที่เกิดจากการติดเชื้อมะเร็งโรคทางลำไส้ถุงน้ำดีฯลฯมากมาย ทั้งหน้าหนังสือพิมพ์และนิตยสารต่างๆ
แต่ไม่ค่อยมีใครเน้นเรื่องโรคกระเพาะและแผลในกระเพาะของเมืองไทย ที่สาเหตุรวมๆแล้วมาจากการกินเหล้าสูบบุหรี่และการใช้ยาแก้ปวด/ยาสเตียรอยด์ มากกว่าที่จะเกิดจากสาเหตุแปลกๆที่ว่าไป
ที่สำคัญไปกว่านั้น เรื่องบางอย่างเป็นเรื่องที่ใหม่เกินไปที่จะตัดสินได้ว่ามีประโยชน์จริงหรือไม่ หรือว่าอาจจะมีโทษ โดยเฉพาะเรื่องยาชนิดใหม่ๆที่ออกมาว่ามีสรรพคุณหรือความสามารถสูงๆ ซึ่งแพทย์ส่วนใหญ่จะมักจะไม่ใช้ยาเหล่านี้จนกว่าข้อมูลที่ออกมาจะชัดเจนพอ (ไม่ต้องการให้ไปเป็นหนูลองยา)


5. ของบางอย่างมันมีมุมมองสองด้าน
มุมมองสองด้านนี้มีสองแง่ครับ แง่แรกคือแง่วิชาการ อีกแง่คือแง่การปฏิบัติจริง ในภาษาอังกฤษจะเรียกเรื่องนี้ว่าเป็น Controversy
ยกตัวอย่างเรื่องการแพ้ยาอย่างรุนแรง ... สมัยก่อนจะมีสองขั้วก็คือขั้วหนึ่งให้สเตียรอยด์ เพราะต้องการลดการแพ้ ... ในขณะอีกขั้วหนึ่งจะไม่ให้เพราะกลัวว่าจะเกิดการติดเชื้อ
ถ้าให้ "อาจจะ" ลดอาการแพ้ได้ แต่ "อาจจะ"เสี่ยงต่อการติดเชื้อจนตาย
ถ้าไม่ให้ "อาจจะ"ไม่ติดเชื้อเพิ่ม แต่ "อาจจะ"เสี่ยงต่อการแพ้จนสูญเสียอวัยวะหรือตาย
แต่อย่างสังคมไทยปัจจุบัน ผมเชื่อว่าข่าวสารที่ออกมาก็คือ ถ้าแพ้ "ต้อง" ให้สเตียรอยด์ ถ้าไม่ให้แปลว่าผิดไปจากมาตรฐาน
ซึ่งความจริงแล้วเรื่องนี้เป็นประเด็นที่ยังต้องหาข้อสรุปทางวิชาการที่เชื่อถือได้ ไม่ใช่การนำเอาความเห็นของคนๆเดียวหรือหนังสือเล่มสองเล่มมาลงจนดูเหมือนเป็นมาตรฐานการรักษาที่ถูกต้องไป

อ่านมาจนถึงตอนนี้แล้ว หลายคนอาจจะเกิดความคิดสงสัยว่าแล้วอย่างนี้เราจะเชื่อใครได้
ประการแรกเลย ในหลายๆโรคหลายๆภาวะ องค์กรของแพทย์กลุ่มต่างๆจะมีการกำหนดมาตรฐานแนวทางการรักษากว้างๆขึ้นมา เพื่อให้แพทย์ในส่วนต่างได้นำเอาไปใช้ โดยแนวทางการรักษานี้เป็นสิ่งที่ดัดแปลงจากองค์ความรู้ทางการแพทย์ทั้งในและต่างประเทศ
ประการต่อมาคือปรึกษาจากผู้ที่ทำการรักษาในพื้นที่นั้นๆครับ เพราะมุมมอง ประสบการณ์ และข้อจำกัดภายในพื้นที่นั้นๆ เป็นสิ่งที่กำหนดการรักษาที่สำคัญ ... เพราะแนวทางการรักษาที่ออกมานั้นเป็นเพียงมุมมองในระดับกว้างๆเท่านั้น แต่ว่าพื้นที่แต่ละแห่งมีข้อจำกัดที่ต่างๆกันไปซึ่งผู้ที่ทำงานในพื้นที่จึงจะรู้ข้อจำกัดนั้นๆและใช้ได้ผลดี
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณอยู่อเมริกา จะบอกว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบก็ต้องมีCT อัลตราซาวน์ตรวจเพิ่มเติม ในขณะที่เมืองไทยถ้ารอตรวจเหล่านั้นอาจจะไส้ติ่งแตกกันไปหมดก่อนเพราะเครื่องมีไม่พอ
หรือแม้แต่ในจังหวัดใกล้ๆกัน จังหวัดนึงอาจจะมีหมอผ่าตัด3คน แต่อีกจังหวัดมีคนเดียว ... ถ้าให้ผู้ป่วยไส้ติ่งไปผ่าที่รพ.จังหวัดทั้งหมด จังหวัดที่มีหมอผ่าตัดคนเดียวอาจจะพบกับผู้ป่วยที่รอผ่าตัดนานจนกระทั่งไส้ติ่งแตกตายมากกว่าก็ได้
ประการสุดท้าย ถ้าไม่มั่นใจจริงๆ คุณก็สามารถสอบถามได้จากแพทย์ที่รักษา หรือขอความเห็นเพิ่มเติมจากแพทย์ท่านอื่นๆได้ต่อไป


อ้อ ผมลืมเรื่องที่ต้องคิดให้มากอีกเรื่องไปครับ

6. เรื่องนั้น เป็นเรื่อง"มั่ว"ตั้งแต่ต้น
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือประดาฟอร์เวิร์ดเมล์ทั้งหลายไงครับ ของเหล่านี้ถ้าไม่มีที่มาที่ไปก็ระวังไว้ก่อนดีกว่าครับ กริ กริ

ทัชสกรีน

เทคโนใหม่ไมโครซอฟท์ "จอทัชสกรีนจากด้านหลัง"

ภาพการสาธิต LucidTouch เทคโนโลยีทัชสกรีนสองด้านในงาน Microsoft TechFest 2008 หลายคนอาจคุ้นเคยกับการสัมผัสจอทัชสกรีนเฉพาะด้านหน้า ล่าสุดนักวิจัยไมโครซอฟท์โชว์เทคโนโลยีไอเดียกระฉูด LucidTouch รับข้อมูลการสัมผัสด้านหลังหน้าจอของผู้ใช้ได้ ถูกนำมาประยุกต์เป็นอุปกรณ์แนะนำเส้นทางพกพา และดัดแปลงเป็นระบบสร้างภาพเงามือ ทำให้ดูเหมือนว่าเครื่องเนวิเกเตอร์นี้โปร่งแสงไมโครซอฟท์สาธิตการทำงานเทคโนโลยีจอแสดงผลทัชสกรีนสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ LucidTouch ที่งาน Microsoft TechFest 2008 เมืองเรดมอนด์ วอชิงตัน สหรัฐอเมริกา โดยเทคโนโลยีนี้คือหนึ่งใน 40 เทคโนโลยีที่นักวิจัยของไมโครซอฟท์ยกพลมาโชว์ในงาน จุดเด่นคือระบบสามารถรับข้อมูลสัมผัสหน้าจอจากด้านหลังได้เงานิ้วมือผู้ใช้ที่ปรากฏในจอ เป็นภาพที่อุปกรณ์นี้สร้างขึ้นจากข้อมูลสัมผัสของผู้ใช้ด้านหลังเครื่อง ภาพเงามือแสดงให้ดูเหมือนว่าอุปกรณ์นี้โปร่งแสง แต่ไม่มีข้อมูลว่าอุปกรณ์นี้โปร่งแสงจริงหรือไม่ และยังไม่มีข้อมูลรายละเอียดด้านเทคนิก รวมถึงแผนการนำผลงานวิจัยไปใช้งานจริงในขณะนี้

เชื่อหรือไม่

แฉ! โกงสอบ "โอเน็ต" โดยใช "นาฬิกามือถือ"
แฉ! โกงสอบ "โอเน็ต" โดยใช "นาฬิกามือถือ"

โกงสอบ- นาฬิกา ซึ่งเป็นโทรศัพท์มือถือในตัว กำลังแพร่หลายในหมู่วัยรุ่น มีการเปิด โปงว่าในการสอบโอ เน็ตเมื่อวันที่ 1 มี.ค. ที่ผ่านมา มีการใช้นาฬิการุ่นใหม่นี้ส่งเอสเอ็มเอสโกงข้อสอบ ซึ่งสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติสั่งตรวจสอบด่วน
สทศ.เต้นนักเรียนใช้นาฬิกาโทรศัพท์ทุจริตสอบโอเน็ต เตรียมหาทางป้องกันสำหรับการสอบครั้งต่อไปหลังมีผู้โพสต์ในเว็บไซต์เปิดตัวนาฬิกามือถือรุ่นใหม่ใช้โทรศัพท์ได้ แล้วมีผู้โพสต์ตามเข้ามาว่า พบเห็นเด็กนักเรียนใช้ส่งข้อความคำตอบให้กัน กระทั่งผู้คุมสอบจับได้ ก่อนปรับตกวิชานั้นทันที เผยเป็นไฮเทคโนโลยีที่ผู้คุมสอบยังตามไม่ทัน อนุญาตให้นำเข้าห้องสอบได้ เพราะคิดว่าเป็นแค่นาฬิกาธรรมดา สกอ. สั่งผู้คุมสอบจับตาสอบเอเน็ต 8-9 มี.ค. นี้เป็นพิเศษ เพื่อป้องกันการทุจริตแบบใหม่ๆ
เมื่อวันที่ 4 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีผู้เข้ามาโพสต์ข้อความในเว็บไซต์แห่งหนึ่งแนะนำนาฬิกาที่ใช้โทรศัพท์ได้ ต่อมามีผู้ใช้ชื่อ ToeYeZ โพสต์เมื่อวันที่ 1 มี.ค. ระบุว่า พบเห็นการนำนาฬิการุ่นดังกล่าวไปใช้ทุจริตการสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน (โอเน็ต) จัดสอบโดยสำนักทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) ระหว่างวันที่ 29 ก.พ.-1 มี.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งนักเรียนนำนาฬิการุ่นนี้เข้าห้องสอบได้ เพราะอาจารย์ไม่ทราบว่ามีนาฬิกามือถือรุ่นนี้ออกมาแล้ว จากนั้นจะใช้นาฬิกามือถือรับส่งข้อความ หรือเอสเอ็มเอส คำตอบจากเพื่อนนักเรียนเรียนเก่งที่ทำข้อสอบเสร็จแล้วส่งมาให้ แต่สุดท้ายก็ถูกอาจารย์คุมสอบจับได้ เนื่อง จากเห็นพฤติกรรมผิดปกติ จึงปรับตกตามกติกา อย่างไรก็ตามอยากให้สทศ.แจ้งไปยังโรงเรียนต่างๆ เพื่อหาทางป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก
ด้านนางอุทุมพร จามรมาน ผอ.สทศ. กล่าวว่า ยังไม่ได้รับรายงานเหตุการณ์ทุจริตดังกล่าว ต้องยอมรับว่า แม้แต่ตนเองก็ยังไม่ทราบว่ามีโทรศัพท์นาฬิกามือถือลักษณะนี้ เพราะเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ผู้ใหญ่อาจก้าวตามเด็กไม่ทัน และเป็นเรื่องที่ตรวจสอบได้ยากลำบากมาก จึงอยากเรียกร้องนักเรียนที่เห็นเหตุการณ์ช่วยแจ้งข้อมูลมายังสทศ. เพื่อจะได้ทราบว่า เหตุเกิดขึ้นที่ศูนย์การสอบใด เพื่อจะได้ตรวจสอบนักเรียนที่กระทำผิดอีกทอดหนึ่ง ขณะเดียวกันได้มอบหมายเจ้าหน้าที่สทศ. ตรวจสอบเว็บไซต์ต่างๆ ที่นักเรียนนิยมเข้ามาโพสต์ว่ามีแจ้งเหตุทุจริตอื่นๆอีกหรือไม่ สำหรับกรณีนี้จะได้นำเข้าหารือในที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสทศ.
"กรณีนี้ถือเป็นช่องว่างทางเทคโนโลยีที่ตรวจสอบได้ลำบาก ในการประชุมคณะกรรมการบริหาร สทศ. วันที่ 7 มี.ค. จะนำเรื่องนี้เข้าหารือที่ประชุมเพื่อแจ้งถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่นักเรียนนำมาใช้ในทางที่ผิด และสทศ.ต้องตามให้ทัน เพราะปีนี้มีนาฬิกาโทรศัพท์ ปีหน้าอาจจะมีการพัฒนาอื่นๆ อีก นอกจากนี้จะหารือว่าสทศ.ต้องอบรมอาจารย์และเจ้าหน้าที่คุมสอบ ให้รู้เท่าทันเทคโนโลยีเหล่านี้ด้วยหรือไม่" ผอ.สทศ.กล่าว
ผอ.สทศ.กล่าวอีกว่า สำหรับการรายงานทุจริตสอบโอเน็ตที่ผ่านมานั้น ขณะนี้ศูนย์สอบจุฬาฯรายงานเข้ามาเพียงแห่งเดียว จากทั้งหมด 18 ศูนย์ โดยพบนักเรียนทุจริต 5 คน ในวิชาคณิตศาสตร์ และภาษาไทย กรณีที่มีนักเรียนนำมาโพสต์ก็เป็นหนึ่งในการทุจริตที่พบที่ศูนย์สอบจุฬาฯ ซึ่งได้ปรับให้ตกในวิชานั้นแล้ว นอกจากนี้ก็มีกรณีนักเรียน 2 คน ขออนุญาตผู้คุมสอบไปเข้าห้องน้ำ แต่ขากลับอาจารย์พบพิรุธ นักเรียนมีท่าทีผิดปกติ สุดท้ายนักเรียนยอมรับว่าไปเขียนโค้ดคำตอบไว้ในยางลบให้กัน อีกกรณีนักเรียน 2 คน เข้าไปบอกข้อสอบกันในห้องน้ำ ซึ่งทั้งหมดจะนำเข้าหารือในบอร์ด สทศ.ว่าจะปรับตกเฉพาะในรายวิชาที่ทุจริต หรือปรับตกทุกรายวิชา
ขณะที่น.ส.จิรณี ตันติรัตนวงศ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) จะจัดทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นสูง (เอเน็ต) วันที่ 8-9 มี.ค. โดยแจ้งเตือนนักเรียนให้ทราบแล้วว่า ห้ามนำสิ่งของอื่นๆ โดยเฉพาะอุปกรณ์สื่อสาร อุปกรณ์อิเล็กทรอ นิกส์เข้าห้องสอบโดยเด็ดขาด แต่จะอนุญาตให้นัก เรียนนำดินสอ 2B ปากกา ยางลบ และเอกสารประจำตัวผู้สอบติดตัวเข้าห้องสอบได้เท่านั้น กรณีนาฬิกามือถือที่พบว่ามีนักเรียนนำมาใช้ทุจริตนั้น ยังไม่ทราบรายละเอียด แต่คงไม่ถึงขั้นห้ามไม่ให้นักเรียนใส่นาฬิกาเข้าสอบ เพียงแต่จะย้ำกับผู้คุมสอบว่าต้องสังเกตพฤติกรรมนักเรียนแต่ละคนอย่างใกล้ชิด หากคนใดผิดปกติ ดูนาฬิกาบ่อย หรือวุ่นวายอยู่กับนาฬิกา ผู้คุมสอบต้องเข้าตรวจสอบและดำเนินการทันที
ส่วนนายสุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการกกอ. กล่าวว่า สกอ.จะประชุมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเพื่อทบทวนมาตรการป้องกันการทุจริต เพราะถือเป็นนโยบายสำคัญที่ต้องดูแลอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะเมื่อเกิดเหตุนักเรียนนำไฮเทคโนโลยีแบบนี้มาใช้ทุจริตสอบโอเน็ต ดังนั้นการสอบแบบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นสูง (เอเน็ต) วันที่ 8-9 มี.ค. จะกำชับศูนย์สอบให้ตรวจตราเข้มงวดขึ้น รวมทั้งดูแลเรื่องโทรศัพท์นาฬิกาข้อมือนี้ด้วย เพราะขนาดการสอบโอเน็ตยังทำถึงขนาดนี้ เป็นเรื่องที่สร้างความเสียหายมาก
"ส่วนจำเป็นต้องถึงขนาดตัดสัญญาณโทรศัพท์บริเวณศูนย์สอบหรือไม่ เพราะเครื่องมือดังกล่าวส่งด้วยสัญญาณโทรศัพท์ ขอหารือเจ้าหน้าที่ก่อน เพราะการตัดสัญญาณโทรศัพท์จะกระทบคนอื่นที่อยู่ในบริเวณดังกล่าวด้วย" เลขาธิการกกอ.กล่าว
ที่มาจากหนังสือพิมพ์
___________________________
ตะลึง!ใช้'สมาร์ทโฟน'โกงข้อสอบเอ็นทรานซ์ตรงตามที่คนโพสต์
ช็อค! นักเรียนใช้มือถือไฮเทค 'โฟนวัน' โกงข้อสอบตรงตามที่มีคนเคยโพสต์ในเน็ต ด้านกกอ.ยังไม่กล้าตัดสัญญาณหวั่นกระทบผู้อื่น พบอีกทุจริต 'โอเน็ต' ที่จุฬาฯ 5 ราย ในวิชาคณิต-ภาษาไทย เล็งหารือให้ปรับตกรายวิชา หรือทุกวิชา
นางอุทุมพร จามรมาน ผู้อำนวยการสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) เปิดเผย เมื่อวันที่ 4 มีนาคม ว่า ในการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน หรือ 'โอเน็ต' ม.6 ระหว่างวันที่ 29 กุมภาพันธ์ -1 มีนาคมที่ผ่านมา เพื่อใช้คัดเลือกนักเรียนเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย หรือเอ็นทรานส์ ศูนย์สอบจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยรายงานการทุจริตเข้ามา พบว่ามีผู้เข้าสอบทุจริต 5 ราย ในวิชาคณิตศาสตร์ และภาษาไทย จะหารือคณะกรรมการ สทศ.ตัดสินว่าจะให้ปรับตกรายวิชา หรือทุกวิชา
ส่วนที่มีนักเรียนโพสต์ในเว็บไซต์ http://board.siamphone.com/viewtopic.php?t=238993 ว่า มีผู้เข้าสอบนำโทรศัพท์มือถือยี่ห้อ PhoneOne รูปร่างเหมือนนาฬิกาสวมข้อมือเข้าห้องสอบได้ เพราะผู้คุมสอบไม่รู้ว่าเป็นมือถือ กระทั่งมีสัญญาณ SMS เข้ามาจึงทราบ และปรับตกนั้น ผอ.สทศ.กล่าวว่า อยากให้ผู้เห็นเหตุการณ์แจ้งข้อมูลเพิ่มเติมเข้ามาที่เว็บไซต์ สทศ.เพื่อตรวจสอบรายละเอียดต่อไป
ต่อมานางอุทุมพรกล่าวยอมรับว่า พบเหตุผิดปกติที่ศูนย์สอบจุฬาฯ รายหนึ่งตรงกับข้อมูลที่โพสต์ในอินเตอร์เน็ต ศูนย์สอบลงโทษไปแล้ว และ สทศ.ยืนยันตามโทษที่ศูนย์สอบตัดสิน
สำหรับข้อความที่โพสต์เมื่อวันที่ 1มีนาคมระบุว่า "วันนี้ผมได้พบพฤติกรรมเลวๆของคนที่ใช้นาฬิกามือถือรุ่นนี้ ซึ่งคือเด็กนักเรียนในการสอบ o-net เด็กนักเรียนสามารถนำเข้าห้องสอบได้ และไม่ถูกจับว่าเป็นมือถือ เพราะอาจารย์ไม่ทราบว่ามีนาฬิกามือถือออกมาแล้ว ดังนั้นก็สามารถนำมาใช้ได้ในขณะที่มือถืออีกเครื่องก็เอาไว้ใต้โต๊ะปิดเครื่องไว้เพื่อโชวความบริสุทธิ์ใจ และใช้นาฬิกามือถือนี้รับส่ง sms ได้ (ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคำตอบแบบตัวเลือก) ผมเจอเข้าอย่างจังวันนี้ที่โรงเรียนผมในการสอบ O-NET เพื่อนร่วมรุ่นของ(ไม่อยากนับเลยเมื่อทำเหตุการณ์เช่นนี้)นำนาฬิกามือถืออันนี้เข้าไปในห้องสอบ และทำการรับโพยจากเด็กเรียนเก่งที่ส่งมาให้เมื่อทำข้อสอบเสร็จแล้ว(เวลาสอบ2ชม แต่ส่วนใหญ่1ชมครึ่งก็เสร็จละครับ)ที่นี่ไอ้คนที่รอรับก็นั่งรอsmsที่จะส่งมาจากเด็กเก่ง แต่สุดท้ายถูกอาจารย์จับได้ เนื่องจากอาจารย์เห็นว่ามันผิดปกติ โดนปรับตกตามกติกาไป ก็สมควรละครับทุจริตการสอบ ผมไม่ชอบมากๆเลย ผมอ่านหนังสือแทบตายเพื่อที่จะมาสอบ กะได้แค่ไหนเอาแค่นั้น กลับเจอทุจริตแบบนี้ เซงครับ การศึกษาไทย ใครฉลาดแกมโกงก็ได้เข้ามหาวิทยาลัยดีๆ คนที่อ่านเองคงสู้ไม่ได้หรอกครับ "
"สุดท้ายผมก็เข้าใจนะครับส่วนใหญ่ไม่ใช้ในจุดประสงค์เลวๆเช่นนั้น เพราะมันสะดวกดี ผมก็เคยคิดเหมือนกัน ผมคิดว่าสอบครั้งหน้า สทศ คงต้องอัพเดทรุ่นมือถือใหม่ๆละ และแจ้งตาม รร ต่างๆให้รับทราบทั่วกัน เพราะไม่แน่ อนาคตอาจมีปากกามือถือก็ได้ ใครจะไปรู้ได้ครับ "
ด้านนายสุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) กล่าวว่า เมื่อเกิดการใช้ไฮเทคโนโลยีแบบนี้ ในการสอบแบบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นสูง หรือ 'เอเน็ต' ระหว่างวันที่ 8-9 มีนาคม จะกำชับศูนย์สอบตรวจตราเข้มงวดขึ้น รวมทั้งดูแลเรื่องโทรศัพท์นาฬิกาข้อมือนี้ด้วย ส่วนจะถึงกับตัดสัญญาณโทรศัพท์บริเวณศูนย์สอบหรือไม่ขอหารือเจ้าหน้าที่ก่อน เพราะจะกระทบคนอื่นในบริเวณนั้นด้วย
นายสมเกียรติ ชอบผล รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า ในวันนี้ สทศ.ได้จัดสอบโอเน็ต ป.6 ทุกสังกัดกว่า 9 แสนคน พบนักเรียนในเขตพื้นที่การศึกษาศรีสะเกษ เขต 4 ตกหล่น 1,400 คน แต่ได้ประสาน สทศ.ขอข้อสอบจัดสอบเรียบร้อยแล้ว และพบว่ามี 237 โรง มีชื่อโรงเรียน แต่ไม่มีรายชื่อนักเรียน อีก 146 โรง มีรายชื่อนักเรียน แต่ไม่มีสนามสอบ จะจัดสอบนักเรียนตกหล่นในวันที่ 5 มีนาคมต่อไป

มงกุฏราชวงศ์อังกฤษ

สุดยอด..."มงกุฎ" แห่งราชวงศ์อังกฤษ
สุดยอด..."มงกุฎ" แห่งราชวงศ์อังกฤษ


นอกจากพระมหามงกุฎเพชรแล้ว หอเอนเมืองปิซา ของอิตาลี, หอนาฬิกาบิ๊กเบน ของอังกฤษ และหอไอเฟล ของฝรั่งเศส สถาปัตยกรรมล้ำค่าและเลื่องชื่ออันเป็นสัญลักษณ์สำคัญของ 3 ประเทศ จำลองมาจัดแสดง พร้อมกับสินค้าคัดสรร พิเศษ ในงาน “Central European Flair” โดยห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ชิดลม ร่วมกับสถานทูตอิตาลีประจำประเทศไทย สถานทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย และสถานทูตอังกฤษประจำประเทศไทย เพื่อผู้เข้าร่วมงานรู้สึกเสมือนท่องเที่ยวในยุโรป
หอนาฬิกาบิ๊กเบน ขนาดใหญ่สูง 13 เมตร เด่นเป็นสง่าล้อมรอบด้วยสวนหย่อมสไตล์อังกฤษบริเวณลานมรกต, หอ ไอเฟล ที่ตั้งตระหง่านกลางโถงเปียโนสูงไปจนถึงชั้น 7 ผสานกับบรรยากาศรอบข้างที่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่กลางกรุงปารีส และหอเอนปิซ่า โดดเด่นบริเวณล็อบบี้ เล้าจน์ ชั้น 1
นอกจากนี้ยังมีการแสดงพิเศษสั่งตรงมาจากยุโรป เฉพาะในวันที่ 6-9 มี.ค. นี้ ได้แก่ การทำรองเท้าจากปรมาจารย์ด้านทำรองเท้าจากอิตาลี Mr.Rolando Seagalin ที่พร้อมตัดเย็บรองเท้าคู่พิเศษในราคาเริ่มต้นคู่ละ 20,000 บาท, โชว์การทำหน้ากาก โดยช่างมีชื่อเสียงอันดับ 1 ของโลก Guerieno Lovato
ลีลาการแสดงมูแรงรูจ กำหนดในวันที่ 20-23 มี.ค. นี้ รวมถึงการขับร้อง La Soprano ของสาวโซปราโน แคโรล บอย เฟอร์รอน และอีกหลากหลายกิจกรรม เฉพาะวันศุกร์-อาทิตย์ อาทิ การแสดงตุ๊กตาหุ่นมือ พันช์และจูดี้ ละครหุ่นพื้นเมืองของอังกฤษ, การแสดงวงปี่สก็อต, การแสดงชาลีแช็ปปลิ้น, ทหารยามพระราชวังบักกิ้งแฮม จากอังกฤษ และการแสดงแอ็คคอร์เดียน จากฝรั่งเศส ฯลฯ.
งานแสดงศิลปวัฒนธรรม สถาปัตยกรรม ตลอดจนสินค้าจากทวีปยุโรปครั้งแรกในประเทศไทย “Central European Flair” ในวันที่ 6-25 มี.ค. 2551 ณ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สาขาชิดลม พิเศษสุดกับการจัดแสดงประวัติความเป็นมาและความสำคัญของมงกุฎจำลององค์สำคัญของราชวงศ์อังกฤษ 5 องค์
พระมหามงกุฎเซนต์เอ็ดเวิร์ด มีความสำคัญเหนือพระมหามงกุฎองค์อื่น ๆ ประจำเครื่องราชกกุธภัณฑ์อังกฤษ เนื่องจากพระประมุข พระองค์ใหม่แห่งสหราชอาณา จักรใช้ทรงเพียงครั้งเดียว ในช่วงพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเท่านั้น เพื่อเป็นสัญลักษณ์การขึ้นครองราชย์โดยสมบูรณ์ เป็นมงกุฎทองคำประดับอัญมณีเทียมและการลงยา ในปี 2454 นำพลอยเนื้ออ่อนประดับเสริมพร้อมทั้งใช้ลูกปัดทองคำแท้ชุบพลาตินั่มตกแต่งแทนที่มุกเทียมเดิม
พระมหามงกุฎประจำองค์พระประมุข อลังการเหนือมงกุฎประจำเครื่องราชกกุธภัณฑ์ของเครือสหราชอาณาจักร สร้างในปี 2381 เพื่อใช้ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมเด็จพระราชินีนาถวิคตอเรีย และตกแต่งใหม่สำหรับพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมเด็จพระราชาธิบดีจอร์จที่ 6 เมื่อปี 2480 และสำหรับพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เมื่อปี 2496 ประดับด้วยอัญมณีโบราณ แผงกลางพระมหามงกุฎประดับทับทิมเจ้าชายดำ และแซฟไฟร์แห่งพระราชวงศ์สจ๊วต กระทั่งพระราชวงศ์อังกฤษได้ครอบครอง “ดวงดาวที่ 2 แห่งแอฟริกา” เพชรเม็ดใหญ่อันดับที่ 2 ของโลกในขณะนั้น จึงย้ายแซฟไฟร์แห่งพระราชวงศ์สจ๊วตประดับด้านหลังพระมหามงกุฎ เพชรคัลลินานประดับบนตัวมงกุฎบริเวณด้านล่างของทับทิม เจ้าชายดำ พบครั้งแรกในแอฟริกาเมื่อปี 2448 เป็นส่วนหนึ่งของเพชรที่ขึ้นชื่อว่าใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยน้ำหนัก 3,601 กะรัต พระราชาธิบดีเอ็ดเวิร์ดที่ 7 ตัดสินพระทัยตัดแบ่งเป็น หลายชิ้น ชิ้นใหญ่ที่สุดนามว่า “คัลลินาน 1” หรือ “ดวงดาวแห่งแอฟริ กา” ส่วนชิ้นใหญ่รองลงมาเรียกขาน “คัลลินาน 2” หรือ “ดวงดาวที่2 แห่งแอฟริกา” ทั้งนี้ ดวงดาวแห่งแอฟริกาประดับบนพระมหาคทาของพระราชวงศ์อังกฤษ ส่วน “ดวงดาวที่ 2 แห่งแอฟริกา” ประดับบนพระมหามงกุฎแห่งราชวงศ์และ แซฟไฟร์ เซนต์ เอ็ดเวิร์ด ประดับ เป็นสง่าบนกางเขนมาลตีส บนยอดพระมหามงกุฎ อีกทั้งยังประกอบด้วยอัญมณีล้ำค่าหลายชิ้นประกอบด้วยทับทิม 4 เม็ด มรกต 11 เม็ด แซฟไฟร์ 17 เม็ด มุก 277 เม็ด และเพชรอีก กว่า 3,000 เม็ด
รูปลักษณ์ พระมหามงกุฎเพชรแห่งองค์สมเด็จพระราชินีนาถวิคตอเรีย แตกต่างจากพระมหามงกุฎองค์อื่นในพระราชวงศ์อังกฤษ ด้วยน้ำหนักเบาและรูปแบบเน้นความสง่างาม ต่อยอดมงกุฎด้วยซุ้มโค้งที่มีลูกโลกประดับกึ่งกลาง และ เหนือลูกโลกประดับกางเขน ส่วนฐานของซุ้มโค้งต่อยอดมาจากลายประดับกางเขนอีก 4 ชิ้น ประดับเหนือฐานมงกุฎโดยมีลายดอกเฟลอร์เดอลีส์ ประดับคั่นลายกางเขนเหล่านี้
แต่พระมหามงกุฎแห่งองค์สมเด็จ
พระราชินีนาถวิคตอเรียไม่มีพระมาลา ประกอบ ตัวพระมหามงกุฎประดับเพชร 1,187 เม็ด ไม่มีอัญมณีสีประดับตกแต่ง เพื่อทรงสามารถใช้ร่วมกับไว้ทุกข์ได้ สมเด็จพระราชินีนาถวิคตอเรียโปรดเกล้าใช้งบประมาณส่วนพระองค์ ทำพระมหามงกุฎองค์นี้เพื่อใช้เป็นของส่วนพระองค์ เนื่องจากพระมหามงกุฎประจำองค์พระประมุขมีน้ำหนักมาก อีกทั้งกระบวนการสั่งเบิกพระมหามงกุฎจากหอคอยลอนดอนมีขั้นตอนยุ่งยาก
มงกุฎแห่งองค์สมเด็จพระบรมราชชนนี เพชรประดับรวม 2,800 เม็ด จัดทำขึ้นในปี 2480 เพื่อใช้ในพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระมเหสีในสมเด็จพระราชาธิบดีจอร์จที่ 6 ใช้เครื่องรัดเกล้าเดิมของสมเด็จพระราชินีนาถวิคตอเรียเป็นฐาน แต่ประดับเพชรรอบตัวรัดเกล้าและต่อยอดจากฐานด้วยลายกางเขนและลายดอกเฟลอร์เดอลีส์ ประดับอัญมณีล้ำค่า โดยมีเพชร “โคอินูร์” ประดับตรงกางเขนหน้ามงกุฎเหมือนมงกุฎที่ทำถวายสมเด็จพระราชินีแมรี่ ส่วนซุ้มโค้งประดับเพชรเหนือมงกุฎต่อยอดจากลายกางเขนทั้งสี่ด้านของฐานมงกุฎ กึ่งกลางซุ้มมีลูกโลกเพชรประดับและเหนือลูกโลกมีลายกางเขนประดับเพชรเม็ดใหญ่ และซุ้มโค้งประดับเพชรนี้สามารถถอดออก ตัวมงกุฎมีโครงสร้างพลาตินั่ม พระมาลากำมะหยี่สีม่วงติดด้านใน
มงกุฎแห่งองค์สมเด็จพระราชาธิบดีจอร์จที่ 4 หนึ่งในเครื่องราชกกุธภัณฑ์สำหรับพระประมุขสหราชอาณาจักร สร้างล้อมพระมาลากำมะหยี่เดิมของพระเจ้าจอร์จที่ 4 เมื่อปี พ.ศ. 2363 สำหรับทรงสวมตลอดพระราชพิธีงานขบวนเข้าสู่วิหารเวสต์มินสเตอร์ เพื่อประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ประดับเพชร 1,333 เม็ด รวม 327.75 กะรัต มุกรายล้อมบริเวณรอบตัวฐาน 169 เม็ด ยอดมงกุฎมีลายกางเขนประดับเพชร 4 ด้าน พร้อมประดับช่อกุหลาบ ธิซเซิล และแช็มร็อคเพชร 4 ช่อ ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของอังกฤษ สกอตแลนด์ และไอร์แลนด์
พระมหาคทา ในพระหัตถ์ขวาผู้เป็นพระประมุขแห่งสหราชอาณาจักร ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ตัวพระมหาคทาทำจากทองคำประดับอัญมณีหลายชิ้นรวมถึง “ดวงดาวแห่งแอฟริกา” ที่เชื่อกันว่าเป็นเพชรเม็ดที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้านล่างเป็นอเมธีสต์ ยอดพระมหาคทาเป็นกางเขนฝังเพชรใจกลางประดับมรกต.

ที่สุดในโลก

ผู้ใช้คอมพ์เอเชียกลุ่มเสี่ยงติดไวรัสมากที่สุดในโลก
เทรนด์ไมโคร ระบุผู้ใช้คอมพิวเตอร์ในเอเชียเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ติดไวรัสเป็นหมายเลขหนึ่งของโลก เผยไวรัสคอมพิวเตอร์เปลี่ยนรูปแบบใช้วิธีแพร่ระบาดเป็นโซนนายคงศักดิ์ ก่อตระกูล ที่ปรึกษาด้านเทคนิค บริษัท เทรนด์ไมโคร (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า ปัจจุบันการแพร่ระบาดของไวรัสคอมพิวเตอร์ ได้เปลี่ยนมาแพร่ระบาดเป็นโซนหรือแยกตามภูมิภาค ต่างจากในอดีตที่ส่งไวรัสตัวเดียวแพร่กระจายไปทั่วโลก จากข้อมูลของเทรนด์ไมโครพบว่า จีนเป็นประเทศที่ติดไวรัสมากที่สุดถึงวันละหนึ่งแสนชนิด ทำให้เทรนด์ไมโครต้องไปตั้งแล็บที่ประเทศจีนเพื่อพัฒนาโปรแกรมแอนตี้ไวรัสที่เหมาะสมกับประเทศจีนให้มากที่สุด นายคงศักดิ์ กล่าวว่า ผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในเอเชียเป็นกลุ่มเสี่ยงติดไวรัสมากที่สุดในโลก เนื่องจากยังมีความรู้ความเข้าใจเรื่องการติดตั้งโปรแกรมแอนตี้ไวรัสค่อนข้างน้อย และยังพบว่า ผู้ใช้โน้ตบุ๊กที่ต้องนำเครื่องเดินทางไปทั่วโลกก็เป็นกลุ่มเสี่ยงแพร่ระบาดไวรัสเช่นกันเทรนด์ไมโคร ได้จัดทำเว็บไซต์เพื่อรายงานผลการตรวจสอบเว็บไซต์และอีเมลแบบเรียลไทม์ ตรวจสอบเว็บไซต์ประมาณวันละ 3 พันล้านเว็บไซต์ พบว่าร้อยละ 0.3 ของทั้งหมดมี การปล่อยมัลแวร์ ส่วนอีเมลประมาณ 1,200 ล้าน อีเมล จะเป็นอีเมลสแปมถึงร้อยละ 95.

ชี่กง

ทึ่ง พลังชี่กง หนุ่มจีนย่างปลามือเปล่า

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เมื่อ 9 มี.ค. นายเหอ ตี้เหิง ชาวจีน ที่อ้างตนว่า มีพลังจิตและตั้งสมญานามให้ตัวเองว่า"อัคคีเทพ" โชว์พลังจิต ย่างปลาด้วยมือเปล่า ให้ผู้ชมราว 7,000 คนในโรงละครลาร์ก ในเมืองกวางโจว ได้ตกตะลึง โดยนายเหอใช้สองมือเปล่าถือปลาสดไว้และใช้เวลารวบรวมพลังจิตไม่ถึง 1 นาที ฝ่ามือก็เกิดควันไฟขึ้นและปลาในมือเริ่มสุก เจ้าของสมญา "อัคคีเทพ" เผยว่า ตนรวบรวมพลังจิตด้วยวิธี "ชี่กง" เพ่งคลื่นสมองไปยังปลาในมือ และคิดว่า กำลังย่างปลาตัวหนึ่งด้วยแก๊สอุณหภูมิสูง 1,000 องศาเซลเซียส พร้อมกับกล่าวว่า "พลังจิตสามารถเอาชนะธรรมชาติได้" สำหรับ "ชี่กง" เป็นศาสตร์ของจีนที่มีมาแต่โบราณ หลักการคือ รวบรวมพลังภายใน หรือพลังลมปราณแล้วเพ่งกระแสปล่อยพลังงานออกมาทางฝ่
เด็ก 8 ขวบเอ็นท์ติดกฎหมาย แต่มหาวิทยาลัยไม่ให้เข้าเรียน





เด็ก 8 ขวบ บราซิลสุดเจ๋ง เอ็นท์ติดวิชากฎหมายแต่มหาวิทยาลัยไม่อนุญาติให้เรียน อ้างไม่เคยผ่านชั้นมัธยมมาก่อน ด้านพ่อฉุนจัดประกาศฟ้อง ขณะที่สมาคมทนายความงง มหาวิทยาลัยปล่อยเด็กเอ็นทรานซ์ได้ไง

สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานว่า หนูน้อย โจเอา วิคตอร์ เปร์เตบินญา เด โอลิไวร่า วัย 8 ขวบ ชาวบราซิล ถูกห้ามเข้าศึกษาต่อทางด้านกฎหมายในมหาวิทยาลัยเปาลิสตา แม้ว่าจะผ่านการสอบเอ็นทรานซ์ก็ตาม เนื่องจากทางสถาบันต้องการให้หนูน้อยรายนี้ สำเร็จชั้นประถมศึกษาเสียก่อน ขณะที่บิดาของหนูน้อยรายนี้แสดงความผิดหวัง เปิดเผยกับหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นว่าจะไปยื่นฟ้องต่อศาล

ขณะที่ โจเอา หนูน้อยบอกว่า ต้องการเรียนกฎหมายในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ และรับรองว่าจะเรียนได้โดยไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน

รายงานระบุว่าเมื่อสัปดาห์ก่อนเด็กชายโจเอา สามารถสอบเอ็นทรานซ์ในโรงเรียนกฎหมายเปาลิสต้าได้สำเร็จ ทั้งข้อสอบปรนัยและข้อสอบข้อเขียน แต่โรงเรียนปฎิเสธที่จะรับเขาเป็นนักศึกษาอ้างว่าเขาไม่เคยผ่านการเรียนภาคมัธยมมาก่อน ขณะที่บิดาของนายโจเอายืนกรานว่าลูกชายของเขาจะต้องเข้าเรียนในภาควิชากฎหมายให้ได้ เพราะครอบครัวได้ตัดสินใจแล้ว

ด้านมารดาของเด็กชายโจเอาบอกว่าลูกชายของเธอไม่ใช่เด็กอัจฉริยะ แต่ถูกเลี้ยงดูในสภาพแวดล้อมในบ้านที่กระตุ้นให้เขาเป็นคนฉลาด

ขณะเดียวกันสมาคมทนายความบราซิล แสดงความข้องใจว่าทำไมจึงมีการปล่อยให้หนูน้อยวัย 8 ขวบ รายนี้มาสมัครสอบเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย เนื่องจากเขายังเด็กเกินไปที่จะได้รับอนุญาตให้สอบเอ็นทรานซ์ได้และเรียกร้องให้กระทรวงศึกษาธิการหาวิธีควบคุม ไม่ให้นักเรียนชั้นประถมเข้าสอบเอ็นทรานซ์เหมือนกรณีนี้อีก

Wednesday, March 5, 2008

เข้าใจผิดmiss understand from nutrition distridute

เรื่องที่คุณเข้าใจผิด จากอาหารเสริมสุขภาพ

ยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่ก้าวหน้าขึ้น เหล่านี้จริงๆน่าจะทำให้คนเราถูกหลอกน้อยลง แต่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วผมเข้าใจว่าเรื่องความเชื่อเหล่านี้เป็นเรื่องของจิตใจที่ยากที่จะแก้ไข
อาหารเสริมสุขภาพ เป็นสิ่งที่บูมขึ้นมาเป็นระยะๆ ยิ่งในระยะหลัง มีการโฆษณาชวนเชื่อกล่าวอ้างทางวิทยาศาสตร์มากมายเพื่อผลทางการค้า จนกระทั่งปัจจุบันในหลายๆประเทศกำหนดไว้เลยว่าต้องระบุให้ชัดเจนว่าสิ่งนี้เป็น"อาหาร" ไม่ใช่ "ยารักษาโรค"
ด้วยราคาที่แพง ดังนั้นก่อนจะซื้อผมจึงคิดว่าลองรับทราบรายละเอียดบางอย่างเอาไว้ก่อนดีกว่าครับ จะได้รู้ว่าซื้อไปแล้วคุ้มกันกับสิ่งที่คาดหวังหรือไม่


1. มันเป็นสารที่อยู่ในส่วนที่เราจะบำรุง ก็เลยต้องกิน
ฟังดูแล้วอาจจะงง ดังนั้นผมยกตัวอย่างของโบราณดีกว่า ....
เคยได้ยินใช่ไหมครับเรื่องยาสมุนไพรบำรุงที่ได้จากสัตว์ เช่น อยากให้ปึ๋งปั๋ง ก็ต้องกินกระจู๋เสือ นอแรด ปวดข้อ ก็ต้องเอาน้ำมันเลียงผา กินดีเสือดีหมีแล้วจะเก่งกล้า
คนโบราณกินจู๋สัตว์ นอแรด เพื่อให้อวัยวะเพศชายแข็งมีกำลัง เพราะเชื่อจากลักษณะของสิ่งที่กิน ที่ชูชันตั้งตระหง่าน Note : เสือใช้เวลาผสมพันธุ์3นาที
น้ำมันเลียงผา ก็เชื่อจากการที่เลียงผาอยู่ตามภูเขา เลยคิดกันไปว่าเวลามันตกเขาขาหัก มันสามารถสมานกระดูกได้ Note : เคยเห็นเลียงผาตัวจริงไหมครับ
ดีเสือ ดีหมี เชื่อกันว่าคนที่กินจะมีความเก่งกาจ Note : จะกินให้ได้สรรพคุณต้องกินสดๆ คนสมัยก่อนที่กล้าไปล่าสัตว์พวกนี้แบบมีแต่ดาบแหลนธนู ก็ต้องมีความกล้าตั้งแต่ก่อนไปกินแล้ว
ของเหล่านั้นเป็นความเชื่อโบราณ ปัจจุบันคงหาคนเชื่อได้น้อยลงหน่อย ... เพราะเราหันไปเชื่ออาหารเสริมเหล่านี้
กินคอลลาเจนแล้วจะทำให้ผิวสวย เพราะคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบของเนื้อเยื่อ , กินแคลเซี่ยมมากๆ กระดูกจะแข็งแรงเพราะกระดูกประกอบจากแคลเซี่ยม , กินคลอโรฟิลล์แล้วเลือดลมจะไหลเวียนดีเพราะว่าคลอโรฟิลล์มีส่วนประกอบโครงสร้างเหมือนฮีโมโกลบินสารจับออกซิเจนในเม็ดเลือด
..... สังเกตสิครับ เหตุผลไม่ต่างจากสมุนไพรจากสัตว์ที่ผมกล่าวไปเลย ... คือ กินเพราะเหตุว่าคุณสมบัติเข้ากันกับอวัยวะที่เราต้องการให้มันดีขึ้น .... ทีนี้เรามาลุยกันทีละข้อ
- คอลลาเจน
ในบรรดาคนที่รักสวยรักงาม จะเคยได้ยินเจ้าสารตัวนี้ว่ามันเป็นส่วนประกอบของผิวหนัง ... บางคนก็คิดว่าการจะมีผิวเนียนนุ่มต้องมีเจ้าคอลลาเจนมากๆ
ที่จริงแล้วกลับกันนิดหน่อยครับ จริงๆเจ้าสารคอลลาเจนนี้ก็เป็นเส้นใยโปรตีนที่ถูกสร้างขึ้นในผิวหนังจริง และมีส่วนเรื่องความยืดหยุ่นจริง ... หากแต่ว่าถ้ามีมันมากๆจะทำให้ผิวนั้นแข็งครับ ไม่ใช่ยืดหยุ่น ... ความยืดหยุ่นของผิวนั้นเกิดจากเส้นใยอิลาสติกเสียมากกว่าคอลลาเจน ... ชนิดของผิวหนังที่จะพบคอลลาเจนได้มากๆก็คือส่วนที่เป็นแผลเป็น ส่วนผิวที่เนียนนุ่มจะมีสัดส่วนคอลลาเจนน้อยกว่า
อีกข้อนึง คอลลาเจนเป็นเส้นใยโปรตีน เวลาเรากินเข้าไปทางปาก มันก็จะเจอน้ำย่อยกลายเป็นกรดอะมิโน .... ไม่เหลือสภาพคอลลาเจนไว้อีกเลย
เทียบกันแล้ว ถ้าจะกินคอลลาเจนเพื่อบำรุงผิว กินไข่ไก่อาจจะคุ้มราคากว่าครับ
- คลอโรฟิลล์
รายงานทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อถือได้ระบุไว้ว่าคลอโรฟิลล์เป็นสารที่มีโครงสร้างคล้ายคลึงกันกับฮีโมโกลบิน ซึ่งเป็นสารที่ทำหน้าที่จับกับออกซิเจนแล้วขนส่งไปสู่ส่วนต่างๆของร่างกาย ซึ่งในโฆษณาหลายชิ้นจะชี้ชวนว่าการกินคลอโรฟิลล์นี้จะช่วยในการขนส่งออกซิเจนได้
ความจริงแล้วเจ้าคลอโรฟิลล์นี้มันไม่สามารถดูดซึมได้ครับ กินไปแล้วก็อยู่ในลำไส้ ไม่โดนย่อยออกมา และต่อให้ดูดซึมได้ ความที่รูปร่างคล้ายกันก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำหน้าที่ได้เหมือนกันแต่อย่างใด ... สรุปแล้วกินเข้าไปก็ไม่สามารถเข้าไปช่วยร่างกายในการขนส่งออกซิเจนได้แต่อย่างใด
- แคลเซี่ยม
ตามความรู้ที่เราทราบกัน กระดูกนั้นมีส่วนประกอบส่วนใหญ่เลยทีเดียวที่เกิดจากแคลเซี่ยม ทำให้มีความเข้าใจว่าถ้าจะต้องการให้กระดูกแข็งแรงก็ต้องกินแคลเซี่ยม ดังนั้นอาหารหลากหลายชนิดต่างก็มีการโฆษณาว่ามีการเสริมแคลเซี่ยมเพื่อเป็นจุดขาย
แต่แคลเซี่ยมนั้นไม่ใช่คำตอบที่สุดนะครับ เพราะกระบวนการสร้างเสริมกระดูกนั้นไม่ใช่แค่การอัดแคลเซี่ยมเข้าไป หากแต่ต้องประกอบไปด้วยการนำเอาแคลเซี่ยมที่ดูดซึมจากลำไส้ไปได้นั้นไปสร้างด้วย ซึ่งในขั้นตอนการดูดซึมแล้วนำไปสร้าง ต้องอาศัยวิตามินD(ที่ได้จากการถูกแสงแดด) และยังต้องอาศัยการใช้งานด้วย ... หากมีแคลเซี่ยมแล้วไม่ได้ออกกำลังไม่ได้ใช้งานเลย ร่างกายก็จะเห็นว่ากระดูกในส่วนนั้นไม่จำเป็นต้องแข็งแรงมากก็ได้ ... ในทางกลับกัน หากมีการใช้งานอย่างสม่ำเสมอเช่นต้องวิ่งต้องเดินบ่อยๆ ร่างกายก็จะมองว่ามีความจำเป็นที่กระดูกต้องแข็งแรงแล้วนำเอาแคลเซี่ยมไปสร้างเสริมความแข็งแรงต่อไป
ดังนั้นบางครั้งกินเข้าไปมากๆ ถ้าไม่ออกกำลังและไม่ออกแดด กระดูกก็ไม่แข็งแรงครับ

2. เวลาเป็นโรคขาดสารไหน ก็กินสารนั้นเอาไว้ก่อน
ในสมัยนึง นักวิจัยตะวันตกเสนอแนวคิดใหม่ออกมา กล่าวคือ เวลาคนเราป่วยจะเกิดความไม่สมดุลของสารต่างๆในร่างกายขึ้น ดังนั้นหากสามารถดูได้ว่าในร่างกายเวลาป่วยเป็นโรคใดโรคหนึ่งแล้วเกิดมีสารใดผิดปกติ ก็หาทางทำให้มันปกติซะ ร่างกายก็น่าจะกลับมาเป็นปกติ
หากมีสารใดมากขึ้นกว่าปกติ ก็จัดการทำให้มันลดลง เป็นแนวคิดของการขับสารพิษ หรือ Detox
หากมีสารใดต่ำกว่าปกติ ก็จัดการเพิ่มเติมมันเข้าไป เป็นแนวคิดของการเสริมอาหาร
- โคเอนไซม์ Q 10
สารตัวนี้เป็นสารที่ค้นพบเมื่อ50ปีก่อน โดยพบครั้งแรกในกล้ามเนื้อวัว ... หลังจากนั้นมีการค้นพบว่าเนื้อเยื่อที่ใช้พลังงานมากๆเช่น สมอง ไต หัวใจ กล้าม จะมีสารนี้เยอะ โดยพบว่าเจ้าสารตัวนี้จะมีส่วนในกระบวนการขนส่งพลังงานในระดับเซลล์และต่อมายังพบว่ามันมีส่วนเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนซ์
มีงานวิจัยที่พบว่าในกล้ามเนื้อหัวใจของคนที่เป็นโรคหัวใจวาย จะมีสารตัวนี้ลดต่ำลง ... ซึ่งในช่วงราวยี่สิบปีที่ผ่านมา มีความพยายามนำสารตัวนี้มาใช้ในการรักษาโรคหัวใจ และโรคอีกหลายโรค เช่นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ... จนมีช่วงที่บูมมากจนกระทั่งมีการเรียกชื่อ โคเอนไซม์Q10 ว่า วิตามินQ10
แต่ที่จริงแล้ว จนถึงปัจจุบัน เจ้าโคเอนไซม์Q10 ยังอยู่ในขั้นตอนของการทดลองวิจัย และผลที่ได้ยังไม่ชัดเจนพอที่จะเอาไปใช้รักษาโรคทั่วๆไปได้จริง
- วิตามินซี
ในแนวเดียวกันกับโคเอนไซม์ Q10 มีการทดลองที่พบว่าในคนที่เป็นหวัด จะมีวิตามินซีในกระแสเลือดต่ำลง ... ดังนั้นจึงมีแนวคิดที่จะใช้วิตามินซีในการป้องกันหวัด มีการใช้วิตามินซีเป็นจุดขายในอาหารเสริมสุขภาพหลายตัว
แต่โดยสรุปแล้วจนถึงปัจจุบัน วิตามินซียังมีข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนอยู่ตัวเดียวคือ ใช้รักษาโรคลักปิดลักเปิดครับ ส่วนเรื่องหวัด ไม่พบว่าสามารถป้องกันได้อย่างชัดเจนแต่อย่างไร

3. เอาความรู้เก่าของเรามายำ
ตอนเด็กๆ พวกเราหลายๆคนจะได้เรียนเรื่องคุณสมบัติของยาหรืออาหารบางตัว ... ซึ่งบางครั้งก็ถูก บางครั้งก็ผิด บางครั้งถูกครึ่งเดียว ยกตัวอย่างเช่น
- วิตามินA
ตอนเด็กๆ หลายคนจะถูกสอนมาว่าวิตามินAนั้นบำรุงสายตา ทั้งที่จริงๆแล้ววิตามินA ช่วยป้องกันโรคกระจกตาลอกจากการขาดวิตามินA ... ส่วนคนที่เป็นสายตาสั้นสายตายาวสายตาเอียงตาเข กินเข้าไปอย่างไรก็ไม่ได้ช่วยอะไร
- เบตาแคโรทีน
เบตาแคโรทีน เป็นสารที่ถูกสอนกันว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีคนนำไปโยงว่าสามารถป้องกันมะเร็งได้ ทำให้บางคนไปซื้อมากินกัน .... ทั้งที่จริงๆแล้วยังไม่มีการค้นพบว่าจะลดมะเร็งได้จริง ซ้ำบางการทดลองยังพบว่าการได้เบตาแคโรทีนเข้าไปมากๆอาจจะเพิ่มโอกาสการเป็นมะเร็งในผู้ที่สูบบุหรี่เสียด้วยซ้ำ ... เรียกว่าดีไม่ดีเสียเงินเพิ่มเพื่อเป็นมะเร็งเสียอีก
- สังกะสี
หลายคนทราบว่าการขาดสังกะสีสามารถทำให้เกิดโรคผมร่วงได้ ... จนบางคนเชื่อไปว่าถ้าผมร่วงให้กินสังกะสีเพื่อทำให้ผมกลับดก ... ซึ่งที่จริงแล้วโรคขาดสารสังกะสีจนผมร่วงไม่ได้พบกันบ่อยๆ และโรคผมร่วงมีสาเหตุจากเหตุอื่นๆมากมาย

ดังนั้นก่อนจะเสียเงินซื้อ ลองหาข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มาดูก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวนี้ของมันแพง เก็บเงินไว้ซื้อสิ่งที่ได้ประโยชน์จริงๆจะดีที่สุดครับ

ที่สุดของโลก

เมืองไทย ที่สุดของโลก

ภายใต้โลกกลมๆใบนี้ มีสิ่งที่แปลกและน่าทึ่งให้เราได้ตกใจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน โดยเฉพาะเรื่องที่สุดๆของโลก ซึ่งมีการบันทึกอยู่ในหนังสือ กินเนส บุ๊ค

อนึ่ง หนังสือ "เดอะ กินเนส บุ๊ค ออฟ เรคอดส์" (The Guinness Book of Records) หรือที่ปัจจุบันเปลี่ยนมาเป็น "กินเนส เวิลด์ เรคอดส์" (Guinness World Records) เริ่มมีการตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1955 ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นแหล่งอ้างอิงทางสถิติสำหรับคนทั่วไป เนื่องจากในสมัยนั้นผู้คนยังไม่นิยมเก็บบันทึกสถิติความเป็นที่สุดในเรื่องต่างๆ เท่าใดนัก

กินเนส บุ๊ค ได้รวบรวมสถิติต่างๆ และมีการตีพิมพ์ออกมาเป็นประจำทุกปี โดยนับจากอดีตจนถึงปัจจุบันก็ตีพิมพ์ออกมาแล้วทั้งหมด 52 ปกด้วยกัน หรือคิดง่ายๆ ก็คือปีละ 1 เล่ม

เจ้าของไอเดียผู้สร้างหนังสือกินเนส บุ๊ค คือ เซอร์ ฮิวจ์ บีเวอร์ ผู้อำนวยการด้านการจัดการของบริษัท "กินเนส เบรเวอร์รี"

แต่เดิมนั้น หนังสือ "เดอะ กินเนส บุ๊ค ออฟ เรคอดส์" ได้รับการผลิตออกมาชิมลางก่อนในเดือนสิงหาคม ปี 1954 โดยตอนนั้นผลิตออกมาเพียง 1,000 เล่มเท่านั้น และไม่มีการวางขายในท้องตลาด หากแต่เป็นการนำไปแจกจ่ายตามผับตามบาร์ในกรุงลอนดอนให้แก่พวกนักย่ำราตรีทั้งหลาย

ทว่า ในปีถัดมา "เดอะ กินเนส บุ๊ค ออฟ เรคอดส์" ฉบับสมบูรณ์พร้อมที่วางขายก็ได้ฤกษ์คลอดออกมา หนังสือบันทึกสุดยอดสถิติความยาว 198 หน้า วางตลาดครั้งแรกเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 1955 ในประเทศอังกฤษ และได้ทะยานขึ้นสู่อันดับ 1 ของหนังสือขายดีที่สุดในสมัยนั้นในช่วงคริสต์มาสของปีเดียวกัน นับว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก

จนในปีต่อมา ก็ได้มีการตีพิมพ์และจำหน่ายในสหรัฐฯ อีกจำนวน 70,000 เล่ม ซึ่งก็ขายดิบขายดีไม่แพ้กัน ปัจจุบัน หนังสือกินเนส บุ๊ค เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษมีวางจำหน่ายอยู่มากกว่า 70 ประเทศทั่วโลก นอกจากนี้ ยังมีการซื้อลิขสิทธิ์ไปแปลเป็นภาษาอื่นๆ อีก 22 ภาษา

ทั้งนี้ การเปลี่ยนชื่อจาก "เดอะ กินเนส บุ๊ค ออฟ เรคอดส์" มาเป็น "กินเนส เวิลด์ เรคอดส์" เริ่มใช้ครั้งแรกในปี 2000

อย่างไรก็ดี ปัจจุบันแทบทุกชาติยังพยายามนำเสนอหรือบ้างครั้งก็สร้างสรรค์สิ่งต่างๆขึ้นมามากมาย เพียงเพื่อที่จะได้ถูกจารึกชื่อลงไปใน กินเนส บุ๊คสักครั้ง เราจึงได้เห็นการรวมตัวกันของคนเยอะๆ หรือทำอะไรที่ใหญ่กว่าปกติได้ออกเป็นข่าว โดยอาศัยความพร้อมเพรียงกับความอลังการเข้าว่า ซึ่งลักษณะดังกล่าวจะมีการทำลายสถิติกันแทบทุกปี

สำหรับประเทศไทยเองก็เป็นขาประจำมีการทำลายสถิติโลกจนได้ลงในหนังสือเนืองๆ อาทิ การรวมตัวเต้นแอโรบิคที่มีคนมากที่สุดในโลก การทำไข่เจียวที่ใหญ่สุดในโลก ข้ามหลามใหญ่ที่สุดในโลก ใส่อั่วยาวที่สุดในโลก รถติดที่สุดในโลก(อันหลังนี้เป็นที่รู้กัน) แบบนี้เน้นทำเพื่อความโด่งดังโดยตรง เพราะคงไม่มีชาติไหนมาทำแข่ง

กระนั้น ก็มีอีกหลายอย่างในไทยที่ถูกบันทึกลงในกินเนส บุ๊ค อย่างไร้ข้อกังขา โดยเป็นที่สุดในโลกอย่างแท้จริง และจะหาคนมาทำลายสถิติก็ไม่ใช่ง่ายๆเลย ลองมาดูกันดีกว่าว่าประเทศไทยเป็นที่สุดของโลกในเรื่องใดบ้าง

• กาญจนา เกตุแก้ว เจ้าของสมญานาม “นางพญาแมงป่อง” สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับแมงป่อง 3,400 ตัว ในตู้กระจก เป็นเวลา 32 วัน นับตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน ถึง 23 ตุลาคม 2545

• บ้านทรงไทยสร้างจากกระดาษทั้งหลัง ซึ่งนำออกแสดงในงาน APEC Investment Mert 2003 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี นับเป็นอาคารกระดาษที่ใหญ่ที่สุด

• ภาพวาดชื่อ “ลมหนาว สายหมอก เสน่หาแห่งล้านนา หมายเลข 1” จากฝีมือ (งวง) ช้างจากปางช้างแม่สา อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ถูกบันทึกให้เป็นสถิติภาพวาดจากฝีมือช้าง ซึ่งมีราคาแพงที่สุดในโลก ราคา 1.5 ล้านบาท บันทึกไว้เมื่อปี 2548

• ขบวนพาเหรดช้างและอาหารบุฟเฟต์ช้างจังหวัดสุรินทร์ มีช้างในแถบภูมิภาคเอเซียเข้าร่วมมาก กว่า 269 เชือก มีอาหารผักผลไม้มากกว่า 50 ตันให้ช้างได้เลือกกิน ได้มีการบันทึกว่าเป็น อาหารบุฟเฟต์ช้างที่ใหญ่ที่สุดในโลก

• การโดดร่มเกาะหมู่ใหญ่ที่สุดในโลก จัดโดยกองทัพอากาศ ที่ จ.อุดรธานี เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2549 โดยมีนักโดดร่ม 400 คน จาก 31 ประเทศมาร่วมด้วย

• ต้มยำกุ้งใหญ่ที่สุดในโลก โดยกระทรวงพาณิชย์ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ตั้งหม้อปรุงกันที่จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน ปี 2542 ได้ต้มยำกุ้งรสเด็ดขนาด 5,000 ลิตร

• ผลิตอาหารทะเลอัดแท่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก (หน้าตาคล้ายปูอัด) อาหารทะเลแท่งนี้หนักถึง50.05 กก. เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2548 โดยบริษัท แปซิฟิค ฟิช โปรเซสซิ่ง

• เทวฤทธิ์ มัจจาชีพ นักกีฬายิงปืนทีมชาติไทยทำสถิติการแข่งขันประเภทปืนยาวอัดลมท่านอน 10 เมตร ด้วยคะแนนมากถึง 600 คะแนน เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2543

• ปวีณา ทองสุก ทำลายสถิติโลก 3 สถิติ ในการแข่งขันยกน้ำหนักชิงแชมป์โลกที่ โดฮา กาตาร์ เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2548 คือ รุ่น 63 กก. ยกได้ 116 กก. ในท่าสแนทช์ และ 140 กก. ในท่า คลีนแอนด์ เจิร์ค และน้ำหนักรวม 256 กก.

• นักดำน้ำสกูบา 722 คน สร้างสถิติดำน้ำหมู่มากที่สุด ณ เกาะเต่า จ.ชุมพร เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2548 ในงาน Koh Tao Underwater World Festival 2005 จัดโดยชมรมดำน้ำเกาะเต่า เพื่อรณรงค์การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางน้ำ

• เรื่องราวภัยธรรมชาติจากเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิ เข้าถล่ม 6 จังหวัดชายฝั่งทะเลอันดามันของไทย กินเนสบุ๊คส์ได้บันทึกยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุสึนามิกลุ่มประเทศในภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งรวมถึงประเทศไทย เมื่อวันที่ 26 ธันวา คม 2547 อย่างเป็นทางการสูงถึง 285,000 คน นับว่าสูงที่สุดตั้งแต่เกิดภัยสึนามิบนโลก

• นายคำ ไชยบุดดี หรือนักแสดงโชว์งู จากบ้านโคกสง่า อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น สร้างสถิติจูบจงอาง จำนวน 19 ตัว เพื่อพิชิตประกาศนียบัตรทองคำจากริบลีย์ และขึ้นทำเนียบกินเนสบุ๊ค จูบงูติดต่อกันจำนวนมากที่สุดในโลก

• สมบัติ เมทะนี ชื่อเล่น แอ๊ด เกิดที่จังหวัดอุบลราชธานี เป็นนักแสดงและผู้กำกับภาพยนตร์ชาวไทย ได้รับการบันทึกจากกินเนสบุ๊คว่าเป็นนักแสดงที่รับบทเป็นพระเอกมากที่สุดในโลก โดยแสดงเป็นพระเอกถึง 617 เรื่อง

• เสาหินขนาดใหญ่ เกิดจากหินปูนก่อตัวกันมาเป็นเวลานานนับล้านปี ตั้งอยู่ตรงกลางถ้ำเสาหิน จ.กาญจนบุรี สูงจากพื้นถึงเพดานถ้ำ วัดได้ 61.5 เมตร

• พระพุทธรูปทองคำสุโขทัยไตรมิตร วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร เป็นพระพุทธรูปทองคำบริสุทธิ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก

• พลายเอก ช้างพลายแก่วัย 79 ปี ที่เพิ่งล้มไปเมื่อเดือนที่แล้วได้รับการบันทึกจากกินเนสบุ๊คว่าเป็น ช้างงาเดียว ที่มีงายาวที่สุดในโลก

รวบรวมมาพอประมาณ ใครทราบข้อมูลว่าประเทศไทยยังมีอะไรที่เป็นที่สุดของโลกอีกก็แนะนำกันได้นะ

"X-Men มีจริง" เด็กประหลาด มีพลังแม่เหล็กพังระบบคอมได้ !!


"X-Men มีจริง" เด็กประหลาด มีพลังแม่เหล็กพังระบบคอมได้ !! Magneto , Man , Joe , Falciatano , III , พลังแม่เหล็ก ,

เด็กชายผู้เรียกตัวเองว่า "Magneto Man" (แมกเนโต้แมน)

มีชื่อว่า Joe Falciatano III อาศัยอยู่ที่ New York ครับ

เจ้าหนูคนนี้เป็นที่ตกตะลึงของเพื่อนๆและคุณครู เมื่อเขาแสดงความสามารถที่เหมือนกับ Magneto Man ในภาพยนต์เรื่อง X-Men ด้วยการแสดงความสามารถทำให้ระบบคอมพังซะอย่างงั้น ยกตัวอย่างเช่น ทำให้สไลด์นำเสนอ(Slide Presentation) ทำงานขัดข้อง หรือทำให้ เครื่องเล่นเกม X-Box ใช้งานไม่ได้ เป็นต้น

โอ้..มหัศจรรย์ ดีแท้ !

ใครเคยคิดว่าเรื่อง X-Men เป็นแค่ภาพยนต์ อาจจะต้องคิดใหม่แล้วนะครับ !!

Sunday, March 2, 2008

อุลตร้าแมน ultraman are influenced from Thailand

รู้หรือไม่ อุลตร้าแมนมีต้นแบบมาจากพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย


Project Ultraman - ดูวิดีโอทั้งหมด กดที่นี่

เผยโฉม ‘ยอดมนุษย์’ ผู้ปราบมาร อภิบาลคนดี

หากเอ่ยถึง ‘ยอดมนุษย์’ บรรดาเด็กๆ รวมถึงผู้ใหญ่ ที่หัวใจยังผูกพันกับฮีโร่ผู้ปราบอธรรมต่างก็ต้องนึกถึง ‘อุลตร้าแมน’ ยอดมนุษย์ซึ่งโด่งดังไปทั่วโลกจากท่าไม้ตายที่พิฆาตเหล่าร้ายด้วยการปล่อยแสง แต่ที่สร้างความประหลาดใจให้แก่แฟนๆของอุลตร้าแมนก็คือ แท้จริงแล้วซูปเปอร์ฮีโร่ตัวนี้เกิดจากฝีมือของคนไทยที่ชื่อ ‘สมโพธิ แสงเดือนฉาย’ ประธานบริษัท ซึบูราญ่า ไชโย จำกัด นอกจากนั้นต้นแบบของอุลตร้าแมนยังมาจากพระพักตร์ของพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยอีกด้วย


สมโพธิ แสงเดือนฉาย เจ้าของลิขสิทธิ์อุลตร้าแมน


กำเนิดยอดมนุษย์

ย้อนไปเมื่อพ.ศ.2505 คุณสมโพธิซึ่งขณะนั้นมีอายุเพียง 20 ปี มีตำแหน่งเป็นช่างถ่ายภาพยนตร์ ที่กองการโฆษณา ธนาคารออมสิน สาขาราชดำเนิน แต่ด้วยฝีมืออันยอดเยี่ยม ทำให้เขามีโอกาสได้ทุนไปศึกษาต่อที่ประเทศญี่ปุ่น โดยคุณสมโพธิเลือกไปเรียนการทำสเปเชียลเอฟเฟค กับอาจารย์เอยิ ซึบูราญ่า ผู้ก่อตั้งบริษัทซึบูราญ่า โปรดักชั่น และผู้สร้าง ภาพยนตร์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านสเปเชียลเอฟเฟค


สมโพธินำภาพพระพุทธรูปที่จะเป็นต้นแบบในการสร้างอุลตร้าแมน
ไปให้อาจารย์เอยิ ซึบูราญ่า(คนซ้าย)ดู


ในช่วงนั้นบริษัทซึบูราญ่าได้สร้างภาพยนตร์เรื่องคิงคอง ผจญกอสสิล่า ซึ่งได้รับความนิยมจากผู้ชมเป็นอย่างมาก แต่ในมุมมองของคุณสมโพธิแล้วกลับเห็นว่าหากจะสร้างฮีโร่ขึ้นมาสักตัว ตัวเอกของเรื่องก็ไม่ควรจะเป็นสัตว์ประหลาด แต่น่าจะนำคนมาสวมบทพระเอกผู้ปราบอธรรมมากกว่า ดังนั้นต่อมาในปี 2506 เขาจึงเสนอไอเดียกับอาจารย์เอยิ ว่าเขาจะหาคาแรกเตอร์ของพระเอกที่เป็นมนุษย์มาปราบคิงคองและกอสสิล่า และสร้างเป็นภาพยนตร์ทีวี นี่เองจึงเป็นที่มาของ ‘อุลตร้าแมน’ ยอดมนุษย์ขวัญใจเด็กๆ ตัวแรก ของญี่ปุ่นที่ถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี 2508


เผยโฉมยอดมนุษย์ พร้อมอาวุธปราบมาร

การที่คุณสมโพธินำพระพักตร์ของพระพุทธรูปมาเป็นแบบในการสร้างอุลตร้าแมนนั้นก็หาใช่ความบังเอิญหรือไอเดียชั่วแล่น แต่เกิดจากแรงบันดาลใจที่เขาได้ซึมซับธรรมะมา ตั้งแต่ครั้งเยาว์วัยในฐานะเด็กวัด เขาวางคอนเซ็ปไว้ว่ายอดมนุษย์ต้องเป็นผู้ที่ใช้ธรรมะปราบอธรรม และใน มุมมองของเขานั้น ‘ยอดมนุษย์’ ที่ใช้ธรรมะปราบอธรรม มาตั้งแต่ครั้งบรรพกาลและอยู่ในใจเขามาตลอดก็คือ ‘พระพุทธเจ้า’ ดังนั้นเมื่อเขาจะสร้างยอดมนุษย์ในโลกเซลลูลอยด์ขึ้นมาสักตัวหนึ่งเขาจึงเลือกที่จะนำสัญลักษณ์บางอย่างที่สื่อถึงพระพุทธองค์มาใส่ไว้ในตัวยอดมนุษย์


สมโพธิ กับต้นแบบอุลตร้าแมนแบบแรก
ที่ร่างแบบและปั้นโดย โทรุ นาริตะ(คนขวา)


“ชื่อยอดมนุษย์นี่ผมเป็นคนตั้งเอง คือจริงๆแล้วพระพุทธเจ้าท่านก็เป็นมนุษย์ แต่ท่านสั่งสมความดีจนสามารถ ตรัสรู้ธรรม ท่านจึงเป็นยอดแห่งมนุษย์ แรงบันดาลใจเกิด จากตรงนี้ ผมจึงนำภาพถ่ายพระพุทธรูป 3 องค์ ไปให้อาจารย์เอยิดู ซึ่งเป็นพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยและอยู่ในจังหวัดสุโขทัยทั้ง 3 องค์ คือพระปางลีลา จากวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ พระปางห้ามญาติ วัดสะพานหิน และพระอัฏฐารส ปางเปิดโลก ซึ่งอาจารย์เห็นแล้วชอบมาก ท่านจึงให้นำพระพุทธรูปดังกล่าวมาเป็นต้นแบบในการร่างคาแร็กเตอร์ของยอดมนุษย์ โดยมีโทรุ นาริตะ เป็นผู้เขียน แบบตามที่ผมบอก


นอกจากนั้นอาจารย์เออิยังสังเกตเห็นว่าพระพุทธรูปทั้ง 3 องค์มีท่าทางไม่เหมือนกัน ผมก็อธิบายว่านี่คือปางต่างๆของพระพุทธรูป เช่น ปางห้ามญาติ ปางเปิดโลก แต่ละปาง ก็มีพุทธานุภาพไม่เหมือนกัน อาจารย์ก็รู้สึกทึ่ง และบอกว่า น่าจะนำท่าทางเหล่านี้มาดีไซน์เป็นท่าไม้ตายในการปราบสัตว์ประหลาด จนสุดท้ายก็ออกมาเป็นท่าปล่อยแสง


พระปางลีลา พระอัฏฐารส พระปางห้ามญาติ


เหตุที่ผมนำพระพุธรูปสมัยสุโขทัยมาเป็นต้นแบบก็เพราะพระพุทธรูปในสมัยนี้ท่านมีใบหน้าที่ยิ้ม ดูมีเมตตา คืออุลตร้าแมนเป็นพระเอกก็ควรจะดูใจดี ซึ่งจุดที่เรานำมาเป็นจุดเด่นของอุลตร้าแมนก็คือใบหน้าเรียวมน ปากยิ้ม ตาเรียวคล้ายกับตาพระพุทธรูปที่หลุบตามองต่ำ และรูปร่างเพรียว ที่สำคัญอุลตร้าแมนเป็นยอดมนุษย์ที่ไม่มีอาวุธ แต่จะปราบสัตว์ประหลาดโดยการปล่อยแสงออกจากร่างกาย ซึ่งแสงนี้ก็เปรียบเสมือนพลังแห่งความดีที่มีอยู่ในตัว”

สัตว์ประหลาดคือตัวแทนของมาร

นอกจากคาแรกเตอร์ของอุลตร้าแมนแล้วเนื้อหาของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ยังนำเอาธรรมะขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้ามาเป็นแก่นแกนในการดำเนินเรื่อง เพื่อให้เด็กๆ ซึมซับในเรื่องของคุณธรรม โดยให้อุลตร้าแมนเป็นตัวแทนของความดีหรือฝ่ายธรรมะ และให้สัตว์ประหลาดเป็นตัวแทนของความชั่วร้ายหรือฝ่ายอธรรม


“ผมและอาจารย์เอยิมีจุดประสงค์ตรงกันในการสร้างภาพยนตร์เรื่องอุลตร้าแมน คือต้องการให้เด็กในรุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีธรรมะ จะได้ไม่ต้องมาเข่นฆ่ากันอีก ซึ่งเรื่องพวกนี้เราต้องปลูกฝังกันตั้งแต่เด็กๆ โดยผมเป็นคน กำหนดเนื้อหาที่เป็นแก่นของเรื่อง คือธรรมะย่อมชนะอธรรม ส่วนรายละเอียดในแต่ละตอนคนญี่ปุ่นจะเป็นคนเขียน


อุลตร้าแมนที่ถูกสร้างสรรค์ด้วยโลหะ


เราไม่ได้นำพระพุทธรูปมาล้อเล่นนะครับ แต่นำคาแร็กเตอร์ของท่านมาเป็นต้นแบบ เพราะโครงเรื่องของเราคือเรื่องราวเกี่ยวกับธรรมะชนะอธรรม ซึ่งก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้นั้นท่านต้องปราบพวกมารมากมาย สัตว์ประหลาดในเรื่องอุลตร้าแมนก็เหมือนกับมาร ส่วนอุลตร้าแมนจะเป็นฮีโร่ที่มีความเมตตา บางทีจับสัตว์ประหลาดได้ก็พาไปส่งที่ดวงดาวที่สัตว์ประหลาดอยู่


คาแร็กเตอร์ของสัตว์ประหลาดนั้นเราจะไม่ให้ออกมาในแนวดุร้าย แต่จะดูตลก คาแรกเตอร์ของสัตว์ประหลาดบางตัวนั้นเรานำมาจากตัวโกงในเรื่องรามเกียรติ์ เช่น ทรพี, ทรพา ลวดลายบนตัวของสัตว์ประหลาดบางตัวก็มาจากลาย บ้านเชียง เพราะช่วงที่ผมไปญี่ปุ่นตอนนั้นคนกำลังเห่อลาย บ้านเชียง ส่วนการต่อสู้ระหว่างอุลตร้าแมนและสัตว์ประหลาดก็จะไม่มีภาพที่น่ากลัว เลือดสาดเหมือนอย่างการ์ตูน สมัยนี้ ซึ่งผมมองว่ามันจะไปปลูกฝังให้เด็กเป็นคนก้าวร้าว และโหดร้ายโดยไม่รู้ตัว”


อุลตร้าแมนภาคต่างๆ ซึ่งทุกตัวยังคงเอกลักษณ์ที่เหมือนกัน คือ
หุ่นเพรียว ตาเรียว ปากยิ้ม และมีดวงไฟอยู่กลางอก


อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเป็นยอดมนุษย์ในโลกเซลลูลอยด์ หรือยอดมนุษย์ในชีวิตจริง แต่สิ่งที่เหมือนกันอย่างหนึ่งคือผู้ที่จะได้รับการยกย่องให้เป็นยอดมนุษย์นั้นจะต้องมีคุณงามความดีและเป็นผู้ที่เสียสละเพื่อประโยชน์สุขของผู้อื่นอย่างแท้จริง มิใช่เพียงเสียงตะโกนป่าวร้องถึงความเสียสละ ขณะที่สองมือยังไขว่คว้าหาอำนาจและผลประโยชน์อย่างมิรู้จบสิ้น.

Saturday, March 1, 2008

Siam centre 2516









Oldest dinosaur

พบ..."ซากสัตว์ทะเลโบราณ" ตัวยักษ์ที่สุด
Discovered the oldest Dinosaur of all time




บีบีซีรายงานวันที่ 27 ก.พ. ว่า ซากฟอสซิลสัตว์ทะเลโบราณที่นักวิทยาศาสตร์นอร์เวย์พบในเกาะสปิตสเปอร์เกน กลางทะเลอาร์กติก ฝั่งขั้วโลกเหนือนั้น เป็น สัตว์เลื้อยคลานขนาดยักษ์ที่สุดเท่าที่เคยพบมา จากจมูกถึงหาง ยาว 15 เมตร มีฉายาว่า "มอนสเตอร์" หรือสัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเล ขนาดปากของมันคาบรถยนต์คันเล็กๆ คันหนึ่งได้สบาย เชื่อว่ามีอายุอยู่สมัย 150 ล้านปีก่อน

BBCดร.จอร์น ฮูรุม มหาวิทยาลัยพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติออสโล กล่าวว่า ซากสัตว์เลื้อยคลานดึกดำบรรพ์ที่พบนี้เป็น 1 ใน 40 ชนิดที่พบ มันมีขนาดใหญ่กว่า สัตว์เลื้อยคลานโบราณของออสเตรเลียที่ชื่อ โครโนซอรัส ถึงร้อยละ 20

BBC reported 27 Febuary 2008 that they found the fossil At the central Arktic the middle of the northern Arktic. This guy about from nose through tail are about 15 meters long. His name is Monster of the ocean. his mouth and eat all of the sport car. We belived that he lived about 150,000,000 years ago.

BBC Dr. John Hulum, The Oslo nature museum university said that all the raptile rest were found. They are about

1/40 that's bigger than Cronosaurus 20%