Can't find it? here! find it

Wednesday, March 5, 2008

เข้าใจผิดmiss understand from nutrition distridute

เรื่องที่คุณเข้าใจผิด จากอาหารเสริมสุขภาพ

ยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่ก้าวหน้าขึ้น เหล่านี้จริงๆน่าจะทำให้คนเราถูกหลอกน้อยลง แต่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วผมเข้าใจว่าเรื่องความเชื่อเหล่านี้เป็นเรื่องของจิตใจที่ยากที่จะแก้ไข
อาหารเสริมสุขภาพ เป็นสิ่งที่บูมขึ้นมาเป็นระยะๆ ยิ่งในระยะหลัง มีการโฆษณาชวนเชื่อกล่าวอ้างทางวิทยาศาสตร์มากมายเพื่อผลทางการค้า จนกระทั่งปัจจุบันในหลายๆประเทศกำหนดไว้เลยว่าต้องระบุให้ชัดเจนว่าสิ่งนี้เป็น"อาหาร" ไม่ใช่ "ยารักษาโรค"
ด้วยราคาที่แพง ดังนั้นก่อนจะซื้อผมจึงคิดว่าลองรับทราบรายละเอียดบางอย่างเอาไว้ก่อนดีกว่าครับ จะได้รู้ว่าซื้อไปแล้วคุ้มกันกับสิ่งที่คาดหวังหรือไม่


1. มันเป็นสารที่อยู่ในส่วนที่เราจะบำรุง ก็เลยต้องกิน
ฟังดูแล้วอาจจะงง ดังนั้นผมยกตัวอย่างของโบราณดีกว่า ....
เคยได้ยินใช่ไหมครับเรื่องยาสมุนไพรบำรุงที่ได้จากสัตว์ เช่น อยากให้ปึ๋งปั๋ง ก็ต้องกินกระจู๋เสือ นอแรด ปวดข้อ ก็ต้องเอาน้ำมันเลียงผา กินดีเสือดีหมีแล้วจะเก่งกล้า
คนโบราณกินจู๋สัตว์ นอแรด เพื่อให้อวัยวะเพศชายแข็งมีกำลัง เพราะเชื่อจากลักษณะของสิ่งที่กิน ที่ชูชันตั้งตระหง่าน Note : เสือใช้เวลาผสมพันธุ์3นาที
น้ำมันเลียงผา ก็เชื่อจากการที่เลียงผาอยู่ตามภูเขา เลยคิดกันไปว่าเวลามันตกเขาขาหัก มันสามารถสมานกระดูกได้ Note : เคยเห็นเลียงผาตัวจริงไหมครับ
ดีเสือ ดีหมี เชื่อกันว่าคนที่กินจะมีความเก่งกาจ Note : จะกินให้ได้สรรพคุณต้องกินสดๆ คนสมัยก่อนที่กล้าไปล่าสัตว์พวกนี้แบบมีแต่ดาบแหลนธนู ก็ต้องมีความกล้าตั้งแต่ก่อนไปกินแล้ว
ของเหล่านั้นเป็นความเชื่อโบราณ ปัจจุบันคงหาคนเชื่อได้น้อยลงหน่อย ... เพราะเราหันไปเชื่ออาหารเสริมเหล่านี้
กินคอลลาเจนแล้วจะทำให้ผิวสวย เพราะคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบของเนื้อเยื่อ , กินแคลเซี่ยมมากๆ กระดูกจะแข็งแรงเพราะกระดูกประกอบจากแคลเซี่ยม , กินคลอโรฟิลล์แล้วเลือดลมจะไหลเวียนดีเพราะว่าคลอโรฟิลล์มีส่วนประกอบโครงสร้างเหมือนฮีโมโกลบินสารจับออกซิเจนในเม็ดเลือด
..... สังเกตสิครับ เหตุผลไม่ต่างจากสมุนไพรจากสัตว์ที่ผมกล่าวไปเลย ... คือ กินเพราะเหตุว่าคุณสมบัติเข้ากันกับอวัยวะที่เราต้องการให้มันดีขึ้น .... ทีนี้เรามาลุยกันทีละข้อ
- คอลลาเจน
ในบรรดาคนที่รักสวยรักงาม จะเคยได้ยินเจ้าสารตัวนี้ว่ามันเป็นส่วนประกอบของผิวหนัง ... บางคนก็คิดว่าการจะมีผิวเนียนนุ่มต้องมีเจ้าคอลลาเจนมากๆ
ที่จริงแล้วกลับกันนิดหน่อยครับ จริงๆเจ้าสารคอลลาเจนนี้ก็เป็นเส้นใยโปรตีนที่ถูกสร้างขึ้นในผิวหนังจริง และมีส่วนเรื่องความยืดหยุ่นจริง ... หากแต่ว่าถ้ามีมันมากๆจะทำให้ผิวนั้นแข็งครับ ไม่ใช่ยืดหยุ่น ... ความยืดหยุ่นของผิวนั้นเกิดจากเส้นใยอิลาสติกเสียมากกว่าคอลลาเจน ... ชนิดของผิวหนังที่จะพบคอลลาเจนได้มากๆก็คือส่วนที่เป็นแผลเป็น ส่วนผิวที่เนียนนุ่มจะมีสัดส่วนคอลลาเจนน้อยกว่า
อีกข้อนึง คอลลาเจนเป็นเส้นใยโปรตีน เวลาเรากินเข้าไปทางปาก มันก็จะเจอน้ำย่อยกลายเป็นกรดอะมิโน .... ไม่เหลือสภาพคอลลาเจนไว้อีกเลย
เทียบกันแล้ว ถ้าจะกินคอลลาเจนเพื่อบำรุงผิว กินไข่ไก่อาจจะคุ้มราคากว่าครับ
- คลอโรฟิลล์
รายงานทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อถือได้ระบุไว้ว่าคลอโรฟิลล์เป็นสารที่มีโครงสร้างคล้ายคลึงกันกับฮีโมโกลบิน ซึ่งเป็นสารที่ทำหน้าที่จับกับออกซิเจนแล้วขนส่งไปสู่ส่วนต่างๆของร่างกาย ซึ่งในโฆษณาหลายชิ้นจะชี้ชวนว่าการกินคลอโรฟิลล์นี้จะช่วยในการขนส่งออกซิเจนได้
ความจริงแล้วเจ้าคลอโรฟิลล์นี้มันไม่สามารถดูดซึมได้ครับ กินไปแล้วก็อยู่ในลำไส้ ไม่โดนย่อยออกมา และต่อให้ดูดซึมได้ ความที่รูปร่างคล้ายกันก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำหน้าที่ได้เหมือนกันแต่อย่างใด ... สรุปแล้วกินเข้าไปก็ไม่สามารถเข้าไปช่วยร่างกายในการขนส่งออกซิเจนได้แต่อย่างใด
- แคลเซี่ยม
ตามความรู้ที่เราทราบกัน กระดูกนั้นมีส่วนประกอบส่วนใหญ่เลยทีเดียวที่เกิดจากแคลเซี่ยม ทำให้มีความเข้าใจว่าถ้าจะต้องการให้กระดูกแข็งแรงก็ต้องกินแคลเซี่ยม ดังนั้นอาหารหลากหลายชนิดต่างก็มีการโฆษณาว่ามีการเสริมแคลเซี่ยมเพื่อเป็นจุดขาย
แต่แคลเซี่ยมนั้นไม่ใช่คำตอบที่สุดนะครับ เพราะกระบวนการสร้างเสริมกระดูกนั้นไม่ใช่แค่การอัดแคลเซี่ยมเข้าไป หากแต่ต้องประกอบไปด้วยการนำเอาแคลเซี่ยมที่ดูดซึมจากลำไส้ไปได้นั้นไปสร้างด้วย ซึ่งในขั้นตอนการดูดซึมแล้วนำไปสร้าง ต้องอาศัยวิตามินD(ที่ได้จากการถูกแสงแดด) และยังต้องอาศัยการใช้งานด้วย ... หากมีแคลเซี่ยมแล้วไม่ได้ออกกำลังไม่ได้ใช้งานเลย ร่างกายก็จะเห็นว่ากระดูกในส่วนนั้นไม่จำเป็นต้องแข็งแรงมากก็ได้ ... ในทางกลับกัน หากมีการใช้งานอย่างสม่ำเสมอเช่นต้องวิ่งต้องเดินบ่อยๆ ร่างกายก็จะมองว่ามีความจำเป็นที่กระดูกต้องแข็งแรงแล้วนำเอาแคลเซี่ยมไปสร้างเสริมความแข็งแรงต่อไป
ดังนั้นบางครั้งกินเข้าไปมากๆ ถ้าไม่ออกกำลังและไม่ออกแดด กระดูกก็ไม่แข็งแรงครับ

2. เวลาเป็นโรคขาดสารไหน ก็กินสารนั้นเอาไว้ก่อน
ในสมัยนึง นักวิจัยตะวันตกเสนอแนวคิดใหม่ออกมา กล่าวคือ เวลาคนเราป่วยจะเกิดความไม่สมดุลของสารต่างๆในร่างกายขึ้น ดังนั้นหากสามารถดูได้ว่าในร่างกายเวลาป่วยเป็นโรคใดโรคหนึ่งแล้วเกิดมีสารใดผิดปกติ ก็หาทางทำให้มันปกติซะ ร่างกายก็น่าจะกลับมาเป็นปกติ
หากมีสารใดมากขึ้นกว่าปกติ ก็จัดการทำให้มันลดลง เป็นแนวคิดของการขับสารพิษ หรือ Detox
หากมีสารใดต่ำกว่าปกติ ก็จัดการเพิ่มเติมมันเข้าไป เป็นแนวคิดของการเสริมอาหาร
- โคเอนไซม์ Q 10
สารตัวนี้เป็นสารที่ค้นพบเมื่อ50ปีก่อน โดยพบครั้งแรกในกล้ามเนื้อวัว ... หลังจากนั้นมีการค้นพบว่าเนื้อเยื่อที่ใช้พลังงานมากๆเช่น สมอง ไต หัวใจ กล้าม จะมีสารนี้เยอะ โดยพบว่าเจ้าสารตัวนี้จะมีส่วนในกระบวนการขนส่งพลังงานในระดับเซลล์และต่อมายังพบว่ามันมีส่วนเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนซ์
มีงานวิจัยที่พบว่าในกล้ามเนื้อหัวใจของคนที่เป็นโรคหัวใจวาย จะมีสารตัวนี้ลดต่ำลง ... ซึ่งในช่วงราวยี่สิบปีที่ผ่านมา มีความพยายามนำสารตัวนี้มาใช้ในการรักษาโรคหัวใจ และโรคอีกหลายโรค เช่นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ... จนมีช่วงที่บูมมากจนกระทั่งมีการเรียกชื่อ โคเอนไซม์Q10 ว่า วิตามินQ10
แต่ที่จริงแล้ว จนถึงปัจจุบัน เจ้าโคเอนไซม์Q10 ยังอยู่ในขั้นตอนของการทดลองวิจัย และผลที่ได้ยังไม่ชัดเจนพอที่จะเอาไปใช้รักษาโรคทั่วๆไปได้จริง
- วิตามินซี
ในแนวเดียวกันกับโคเอนไซม์ Q10 มีการทดลองที่พบว่าในคนที่เป็นหวัด จะมีวิตามินซีในกระแสเลือดต่ำลง ... ดังนั้นจึงมีแนวคิดที่จะใช้วิตามินซีในการป้องกันหวัด มีการใช้วิตามินซีเป็นจุดขายในอาหารเสริมสุขภาพหลายตัว
แต่โดยสรุปแล้วจนถึงปัจจุบัน วิตามินซียังมีข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนอยู่ตัวเดียวคือ ใช้รักษาโรคลักปิดลักเปิดครับ ส่วนเรื่องหวัด ไม่พบว่าสามารถป้องกันได้อย่างชัดเจนแต่อย่างไร

3. เอาความรู้เก่าของเรามายำ
ตอนเด็กๆ พวกเราหลายๆคนจะได้เรียนเรื่องคุณสมบัติของยาหรืออาหารบางตัว ... ซึ่งบางครั้งก็ถูก บางครั้งก็ผิด บางครั้งถูกครึ่งเดียว ยกตัวอย่างเช่น
- วิตามินA
ตอนเด็กๆ หลายคนจะถูกสอนมาว่าวิตามินAนั้นบำรุงสายตา ทั้งที่จริงๆแล้ววิตามินA ช่วยป้องกันโรคกระจกตาลอกจากการขาดวิตามินA ... ส่วนคนที่เป็นสายตาสั้นสายตายาวสายตาเอียงตาเข กินเข้าไปอย่างไรก็ไม่ได้ช่วยอะไร
- เบตาแคโรทีน
เบตาแคโรทีน เป็นสารที่ถูกสอนกันว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีคนนำไปโยงว่าสามารถป้องกันมะเร็งได้ ทำให้บางคนไปซื้อมากินกัน .... ทั้งที่จริงๆแล้วยังไม่มีการค้นพบว่าจะลดมะเร็งได้จริง ซ้ำบางการทดลองยังพบว่าการได้เบตาแคโรทีนเข้าไปมากๆอาจจะเพิ่มโอกาสการเป็นมะเร็งในผู้ที่สูบบุหรี่เสียด้วยซ้ำ ... เรียกว่าดีไม่ดีเสียเงินเพิ่มเพื่อเป็นมะเร็งเสียอีก
- สังกะสี
หลายคนทราบว่าการขาดสังกะสีสามารถทำให้เกิดโรคผมร่วงได้ ... จนบางคนเชื่อไปว่าถ้าผมร่วงให้กินสังกะสีเพื่อทำให้ผมกลับดก ... ซึ่งที่จริงแล้วโรคขาดสารสังกะสีจนผมร่วงไม่ได้พบกันบ่อยๆ และโรคผมร่วงมีสาเหตุจากเหตุอื่นๆมากมาย

ดังนั้นก่อนจะเสียเงินซื้อ ลองหาข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มาดูก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวนี้ของมันแพง เก็บเงินไว้ซื้อสิ่งที่ได้ประโยชน์จริงๆจะดีที่สุดครับ

No comments: