Can't find it? here! find it

Monday, January 18, 2010

Dear some adult likes to bully the boys and girl



         บทความนี้เป็นบทความที่ผมเขียนขึ้นเพราะผมรังเกียจผู้ใหญ่หรือรุ่นพี่บางคน หรือบางกลุ่ม(ไม่ได้เขียนด่าใครนะครับแค่แสดงความคิดเห็น)ที่ชอบรังแกรุ่น น้องและเยาวชน          หนังเรื่องนี้คือตัวอย่างตัวอย่างหนึ่งที่ผมบอกได้เลยว่าผมเกลียดผู้ใหญ่ที่ ทำตัวแบบนี้ที่สุด

         ผู้ใหญ่บางคนชอบพูดจาถือดี ทำตัวเก่งอย่างนู่นเก่งอย่างนี้ทั้งๆที่เขาก็เลี้ยงลูกด้วยนมเหมือนๆกับ เยาวชน    รู้ว่าเคยเห็นอะไรๆมาก็มากแต่บางคนก็พูดจาเลอะเทอะ ชอบใช้อำนาจบังคับคนรุ่นหลังๆ     ให้มาทำสงคราม ทำงานเยี่ยงสัตว์เหมือนที่คนบางคนพูดใว้นานมากแล้วว่า "Old men declare war, Young men go to war."คนแก่ประกาศสงคราม คนหนุ่มไปตาย   



Battle Royale (2000)เกมส์นรก โรงเรียนพันธุ์โหด


ในกระบวนนักทำหนังชาติต่างๆแล้ว คงไม่มีชาติไหนมีจินตนาการในการทำหนังได้แปลกประหลาดไปยิ่งกว่า หนังของชาวลูกญี่ปุ่นไปอีกแล้ว
โดยเฉพาะ battle royale หนังนี้มีแต่ฉากรุนแรง เซ็กซ์ และโรคจิตนรก
แบบว่าแค่เนื้อเรื่องของหนังนั้นเริ่มต้นหลายคนก็คงรับไม่ได้แล้ว

ณ . สาธารณะรัฐอิสระ พ.ศ. 2xxx สาธารณะรัฐอิสระ(แต่ธงมันปักโต้งๆ ว่าเป็นญี่ปุ่น) ต้องพบกับวิกฤตการณ์ ประชากรล้นประเทศ...
ทำ ให้เหล่าผู้มีอิทธิพลของสาธารณะรัฐอิสระ    ได้ออกกฎหมายต่างๆขึ้นมา เพื่อควบคุมจำนวนประชากร ใช้รหัสทางการทหารว่า.…Battle Royal…
โดยแต่ละปีจะมีการสุ่มนักเรียน ม.ปลาย จากทั่วทั้งญี่ปุ่นจำนวน หนึ่งห้อง มาเข้าร่วมโปรแกรมนี้... หลักง่ายๆของโปรแกรมนี้ก็คือ
ให้นักเรียนห้องนั้น “ฆ่ากันเอง” จนกว่าจะเหลือผู้รอดชีวิตคนสุดท้ายอาวรมย์Last man standingว่างั้น
เพราะเล่นจับเด็กนักเรียนม.ปลาย ปี2 ห้อง 6 ชาย 22 คนหญิง 20 คน จำนวน 42 คน    ไปปล่อยเกาะ แล้วแจกอาวุธให้
         สอน ให้รู้จักเอาตัวรอดด้วยการฆ่าเพื่อนเพื่อการอยู่รอดของตัวเอง เพราะทุกคนจะถูกสวมปลอกคอ โดยทุกหนึ่งชั่วโมงถ้าไม่ฆ่าใครหรือยังเหลือผู้รอดชีวิตมากกว่าหนึ่งคนปลอกคอจะระเบิดจนทุกคนต้องตายหมดนี้แค่ใน หนังนะ การ์ตูนต้นตำรับเรื่องนี้โหดกว่านี้อีกมีฉากเซ็กซ์และฆ่า สมองระเบิดอย่างกับวุ้น นักเรียนถูกยิงจนพรุนฯลฯ เรื่องดังมากจนนำไปสร้างเวอร์ชั่นต่างประเทศ

 ตัวอย่างอีกตัวอย่างหนึ่งที่ทำการ์ตูนออกมาได้แบบเสียดสีสังคมผู้ใหญ่ที่บ้าอำนาจได้ดีเช่น

การ์ตูนเรื่องนี้เขียนโดย โทรุ ฟูจิซาวะ
มีชื่อเสียงโด่งดังมากในช่วงเวลา1999-2001 การ์ตูนที่เขียนออกมาแหวกแนวตลกของอาจารย์ที่เคยเป็น
นักเลงใหญ่ที่สุดใน โชนัน เปลี่ยนมาเป็นอาจารย์สอบห้องที่มีปัญหามากที่สุดม.3 ห้อง 4 ในร.ร. มัธยมแห่งหนึ่ง และถ้าดูดีๆแล้วการ์ตูนเรื่องนี้หนังสือการ์ตูนนั้นเขียนออกมาในแนวเสียดสี ผู้ใหญ่ค่อนข้างชัดเจน


และอีกหลายๆเรื่องที่ผมกำลังจะทำขึ้นมานำเสนอให้นะครับ




Thursday, January 7, 2010

Enigma

Enigma : รหัสลับนาซี

Faylicity.com
อี นิกมาเป็นเครื่องเข้ารหัสข้อมูลที่เยอรมันใช้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เยอรมันสื่อสารข้อมูลทางวิทยุเป็นหลัก เพื่อความสะดวกรวดเร็ว ข้อมูลที่ส่งทางวิทยุนั้นเป็นสื่อสาธารณะที่ใครๆ ก็ได้ยินได้ เยอรมันจึงจำเป็นจะต้องแปลงข้อมูลเหล่านั้นด้วยอีนิกมาให้อยู่ในรูปที่อ่าน ไม่รู้เรื่องก่อน อีนิกมาเป็นรหัสลึกลับน่าสนเท่ห์อย่างชื่อ และเป็นเครื่องมือที่เยอรมันมั่นใจอย่างเหลือเกินว่าจะไม่มีใครทำลายได้ สำเร็จ เรามารู้จักว่าอีนิกมาทำงานอย่างไร และทำไมเยอรมันจึงได้เชื่อมั่นในเครื่องมือนี้ถึงขนาดนี้
อีนิกมาปรากฎโฉมครั้งแรกในปี 1918 โดยเป็นสินค้าชิ้นหนึ่งของบริษัทรักษาความปลอดภัยที่วางขายในท้องตลาด ผู้คิดค้นอีนิกมาคือ Arthur Scherbius ซึ่งได้ออกแบบให้อีนิกมาใช้งานง่าย มีหน้าตาคล้ายเครื่องพิมพ์ดีดที่มีแป้นตัวอักษรให้กด เวลากดตัวอักษร เช่น Q ตัวอักษรจะผ่านการแปลงรูปเป็นตัวอื่นเช่น U เป็นต้น ในเครื่องมีแผงไฟที่แสดงตัวอักษรที่ถูกแปลงแล้ว (ในที่นี้คือ U) ที่จะสว่างวาบขึ้น ผู้ใช้เครื่องนี้จะต้องจดตัว U เพื่อเอาไปใช้ส่งข้อมูลต่อไป ดังนั้น HELLO อาจกลายเป็น BXCYR เป็นต้น
สังเกต ว่าตัว L สองตัวนั้นแปลงได้ต่างกันไปในการกดแต่ละครั้ง (ในแป้นพิมพ์นั้นไม่มีตัวเลข การส่งตัวเลขจึงต้องใช้การสะกดเอา เช่น 3321 เป็น DREI DREI ZWO EINS)


แป้นพิมพ์
อี นิกมาไม่ประสบความสำเร็จในการขาย แต่กองทัพเยอรมันให้ความสนใจ และตั้งแต่ปี 1923 อีนิกมาก็ไม่มีวางขายอีกต่อไป แต่กลายเป็นเครื่องมือใช้ในหน่วยทหารแทน
ข้อดีของอีนิกมา คือใช้งานง่าย เข้าใจง่าย ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าข้างในเครื่องอีนิกมาทำงานอย่างไร ก็รู้ว่าพิมพ์อะไรเข้าไป ก็จะออกมาเป็นอีกอย่างให้เราเอาไปใช้ได้ คนใช้อีนิกมาไม่ต้องผ่านการฝึนฝนอะไรมาก เพียงอ่านหนังสือออกและเรียนรู้การปรับค่าเริ่มต้นของล้อหมุน (ที่ทำง่ายๆ ด้วยมือ) ก็ใช้ได้แล้ว


Arthur Scherbius
และยังเป็นทั้งเครื่องเข้ารหัสและถอดรหัสในตัวเดียวกัน อีนิกมามีขนาดเล็ก พกพาไปไหนสะดวก จึงสะดวกกับการใช้งานทางทหารอย่างยิ่ง นอกจากนั้น หน่วยทหารแต่ละกองยังสามารถตั้งรหัสให้เข้าใจได้แต่ในพวกเดียวกัน (เช่นเฉพาะกองทัพเรือ เฉพาะกองทัพอากาศ) ซึ่งทำได้ด้วยการตั้งค่าลูกล้อให้ต่างกันไป ตอนที่สงครามโลกครั้งที่สองเริ่มระอุนั้น กองทัพเยอรมันก็ใช้งานอีนิกมาอย่างกว้างขวางแล้ว
ตลอดช่วงสงครามโลก ครั้งที่สอง เยอรมันได้พัฒนาอีนิกมาอยู่เสมอ เช่นเพิ่มล้อหมุนจาก 3 เป็น 5 และทำให้ล้อหมุนนี้วิ่งไปลำดับใดก็ได้ คือจะตั้งค่าให้ล้อไหนจะเป็นล้อชั่วโมง ล้อนาที ก็ได้ ซึ่งทำให้การถอดรหัสยากขึ้นไปอีก ไม่เพียงเท่านั้น เยอรมันจะเลือกใช้ล้อหมุนเพียงสามตัวจากห้าตัวที่มีอยู่ การจะแกะรหัสด้วยการเดาจึงต้องเดาทั้งลูกล้อไหนที่จะใช้ และใช้ในลำดับใด ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ เยอรมันจึงเชื่อมั่นว่าไม่มีใครจะแกะรหัสอีนิกมาออกได้เลย


Alan Turing
เยอรมัน ใช้อีนิกมาในการสื่อสารของเรือดำน้ำ U-Boat ที่น่าครั่นคร้ามของเยอรมันด้วย U-Boat จมเรือของฝ่ายพันธมิตรไปมากมาย ดังนั้นการถอดรหัสของอีนิกมาให้ออก จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง อังกฤษพยายามรวบรวมนักอักษรศาสตร์ นักตรรกศาสตร์ นักคอมพิวเตอร์ และใครก็ตามที่พอจะมีหวังว่าจะแกะรหัสอีนิกมาออก มาช่วยกันทำงานแกะรหัสซึ่งเป็นงานลับสุดยอดนี้ ผู้คนถึง 10,000 คนรวมถึง อลัน ทัวริง (Alan Turing) นักคณิตศาสตร์ชื่อดัง
ได้มารวมตัวกันที่ ศูนย์เฉพาะกิจ โดยทำงานกันเป็นผลัดทั้งวันทั้งคืน เพื่อพยายามหาทางทำลายอีนิกมา ทัวริงมีส่วนช่วยให้แกะรหัสนี้สำเร็จ แต่ความสำเร็จนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าไม่ได้ความช่วยเหลือจากประเทศโปแลนด์ และชาวโปแลนด์สามคนต่อไปนี้ที่สมควรได้รับเครดิตในการแกะอีนิกมามากกว่าใคร Marian Rejewski, Jerry Rozycki และ Henryk Zygalski
ความ ผิดพลาดข้อสำคัญที่สุดของเยอรมันก็คือความเชื่ออย่างสุดจิตสุดใจในตัวอีนิ กมานี่เอง ซึ่งเป็นเหตุของความผิดพลาดและเลินเล่อในการใช้งาน




ทหารเยอรมันกำลังส่งรหัสด้วยอินิกม่า

Wednesday, January 6, 2010

Origin of Samurai

ประวัติศาสตร์นักสู้ซามูไรเริ่มขึ้นในศตวรรษที่ 11 เมื่อรัฐบาลอ่อนแอ ชาวบ้านตลอดจนขุนนางญี่ปุ่น จึงหันไปพึ่งพาผู้มีฝีมือในเชิงยุทธที่ขนานนามกันว่า "ซามูไร" จากนั้นมาซามูไรก็รุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ "โชกุน" อัครมหาเสนาบดี และ "ไดเมียว" เจ้าผู้ครองนครต่างๆ ของญี่ปุ่น ต่างก็มีซามูไรเป็นกองทัพไว้ประดับบารมี

อาวุธ ประจำกายของซามูไรนั้น ทั่วโลกรู้ดีว่า คือดาบอันคมกริบ ซามูไรบางคนใช้วิธีฝึกฝน ความคมดาบของตน โดยอาศัยร่างของชาวบ้าน สามัญชนเป็นที่ทดสอบ ดังนั้น ในสมัยของโชกุน โตกูงาวะ จึงมีกฎหมายอนุญาตให้ซามูไรเอาศพ ของนักโทษประหารไปใช้รองรับ คมดาบของตนได้


วิธีการก็คือ เอาศพไปมัดติดกับหลักซึ่งทำจากลำไม้ไผ่ จากนั้นนักดาบในชุดซามูไรออกศึก (กามิ ชิโม) ก็จะถือดาบเยื้องย่าง เข้ามาพินิจพิจารณาดูว่า จะฟันส่วนใดของศพจึงจะเหมาะสม เช่นว่า การฟันข้อมือจะง่ายดายที่สุด ส่วนการฟันขาดสะโพก (เรียว กูรูม่า) หรือฟันตัดสองบ่า (ไต-ไต) จะยากที่สุด หลังจากฟันแล้ว ซามูไรก็จะตรวจสอบดาบของตนอย่างละเอียดว่า มีบิ่นหรืองอหรือไม่ เลือดและไขมันที่ติดดาบนั้นมีลักษณะเป็นอย่างใด เสร็จแล้วก็ไปตรวจตราร่องรอยการฟันบนร่างศพ

ซามูไรที่เก่งกาจนั้นต้องมีดาบชั้นดีไว้ ครอบครองครับ เช่น ดาบที่ผลิตจากสำนักตีดาบมีระดับ เช่น ติมบะ โนะ กามิ โยชิมิชิ (ค.ศ.1565-1635) หรือสำนักของ อิโนอูเอะ ชินกาอิ (ราว ค.ศ.1674)

ศิลปะการใช้ดาบต่อสู้อย่างรวดเร็วฉับไวนั้น สร้างชื่อเสียงให้ซามูไรจนใครได้ยินชื่อก็หนาว


แต่...เมื่อถึงกาลเวลาหนึ่ง ดาบซามูไรก็ต้องถูกสยบด้วยอาวุธอื่นอันทรงอานุภาพกว่า

ในปี ค.ศ.1551 หนุ่มนักสู้วัย 20 ปี นาม โอดะ โนบูนางะ ขึ้นเป็นไดเมียว ครองนครเล็กๆ โอวาริ ใกล้กับเมืองนาโงยาในปัจจุบัน เขาได้สร้างวีรกรรม ที่ทำให้ญี่ปุ่นทั้งประเทศตื่นตะลึง นั่นคือสามารถใช้ นักรบเพียง 3,000 คน ยืนหยัดต่อสู้ และพิชิตกองทัพขนาด 25,000 คน ของ อิมะงาวะ ซึ่งเป็นไดเมียว นครใหญ่
โดย อิมะงาวะนั้น คิดการใหญ่ ต้องการเป็นโชกุน และยกกำลังออกปราบปราม เมืองใหญ่น้อย แต่โนบูนางะไม่ยอมก้มหัวให้ เขาใช้กลยุทธ์หลอกเอาทัพ ของอิมะงาวะไปติดกับ ในซอกเขาท่ามกลางหมอกหนา แล้วนำนักรบจำนวนน้อย ของตนถล่มข้าศึกจนราบคาบ

ก่อนหน้านี้ในปี ค.ศ.1542 ชาวโปรตุเกสได้มาถึงญี่ปุ่นเป็นหนแรกเพื่อค้าขาย พวกเขาได้นำปืนยาวอาวุธชนิดใหม่ ที่ชนญี่ปุ่นไม่เคยเห็นมาด้วย เจ้าครองนครต่างๆ ชื่นชมมาก เพราะมันมีพลานุภาพเหนือกว่าหน้าไม้และธนูหลายเท่า และโดยที่พี่ยุ่นนั้นถนัดในเรื่องก๊อบปี้ ดังนั้น จึงมีข้อมูลที่พ่อค้าโปรตุเกสคนหนึ่งบันทึกไว้ว่า เพียงชั่วหกเดือนนับจากที่ได้ลูบคลำปืนเป็นครั้งแรก เหล่าช่างญี่ปุ่นก็สามารถผลิตปืนขึ้นเองได้ถึง 600 กระบอก


ปืนนั้นเป็นอาวุธระยะไกล สามารถสังหารข้าศึกได้แบบไม่ทันได้รู้ตัว ในอมตะวรรณกรรม "ผู้ชนะสิบทิศ" ของ "ยาขอบ" เมื่อ บุเรงนอง จอมทัพพม่า ได้เห็นอานุภาพของปืนเป็นครั้งแรก ก็ยังทรงรำพึงอย่างรันทดพระทัยว่า ต่อแต่นี้ไปคงจะไม่ได้เห็นภาพการต่อสู้ด้วยดาบ หรือทวนอย่างห้าวหาญสมกับเป็นนักรบอีกแล้ว

แม้ นักรบซามูไรหลายคนจะเหยียดหยามนักรบถือปืนว่าขี้ขลาดตาขาว แต่โนบูนางะเป็นขุนศึกประเภทคิดใหม่-ทำใหม่ เขาเรียนรู้อย่างรวดเร็วว่า ยุคแห่งอาวุธทันสมัยได้มาถึงแล้ว และหากเขาต้องการรวบรวมญี่ปุ่นให้เป็นหนึ่งเดียว เขาจำเป็นต้องใช้ปืน

นอกจากปืนแล้ว โนบูนางะยังมียอดขุนพลคู่ใจซ้าย-ขวา คือ โตโยโตมิ ฮิเดโยชิ กับ โตกูงาวะ อิเอยาสุ (สองคนนี้ต่อมาโด่งดังสุดๆ ทั้งคู่) ทำให้โนบูนางะ สามารถแผ่ขยายอำนาจ กว้างขวางออกไปได้อย่างรวดเร็ว แต่แล้วก็พบอุปสรรคสำคัญ ซึ่งมิใช่ กองทัพของไดเมียวใด


หากทว่าเป็นสมณะนักรบแห่งพุทธศาสนา!

ในปี 1571 โนบูนางะ ยกกำลังทัพ 30,000 คน ไปล้อมวัดซากาโมโตบนเขาฮิเออิทาง เหนือของเกียวโต วัดนี้เป็นวัดศักดิ์สิทธิ์ที่สุดทั้งของผู้นับถือพุทธและชินโต แต่พระภิกษุในวัดปฏิเสธไม่ยอมอ่อนน้อม และอพยพชาวบ้านลูกเล็กเด็กแดงทั้งหลาย เข้ามาหลบไว้ภายในวัด


เหตุการณ์ต่อจากนี้ บาทหลวง หลุยส์ ฟรังส์ มิชชันนารีเยซูอิต ได้บันทึกไว้ว่า

"เมื่อ รู้ว่าชาวบ้านทั้งหมดได้ไปปักหลักอยู่ในวัด โนบูนางะก็สั่งการทันที ให้เอาปืนระดมยิง ใช้ไฟเผา และบุกเข้าไปใช้ดาบสังหารทุกคนภายในวัด ไม่ว่าจะเป็นชายหญิงหรือเด็กเล็ก"

และหลังจากนี้ โนบูนางะก็ได้นำกลยุทธ์การรบแผนใหม่มาใช้ โดยดาบซามูไรไม่มีทางเทียบได้เลย

ใน การรบแบบเดิมๆ ของซามูไร พวกเขาจะควบม้าดาหน้าเข้ามา พร้อมกับตวัดไกวดาบในมือ ประจัญบานหํ้าหั่นกันแบบถึงเนื้อถึงตัว  แต่เมื่อพบกับกลยุทธ์ใหม่ของโนบูนางะ โดยเขาจัดวางพลปืนจำนวน 3,000 คนของเขา รับมือทหารม้าซามูไร โดยตั้งแนวเป็นชั้นๆ และไม่ยิงพร้อมกันทีเดียวหมดทุกคน เมื่อแถวหน้ายิงออกไป แล้วก็จะบรรจุกระสุน ระหว่างนั้นแถวที่ 2 และ 3 ก็ยิงออกไปทีละแถวตามลำดับ ยิงออกไป 3-4 ชุด ทัพม้าซามูไรก็ไม่เหลือ


เมื่อเห็นเช่นนั้น วัดอื่นๆ ก็เริ่มตระหนักถึง ความสำคัญของปืน และตั้งต้นสร้าง โรงงานผลิตปืนเป็นการใหญ่ โดยเฉพาะเมืองอิสระ ซากาอิ ถึงกับเป็นแหล่งอุตสาหกรรมค้าขายปืน ให้กับผู้ซื้อทุกรายไม่มีเกี่ยง ในปี 1575 นั้น ถึงกับกล่าวกันว่า ทัพของโนบูนางะทันสมัย ยิ่งกว่าทัพขนาดเล็ก ของยุโรปเสียอีก

ถัดไปคือ วัดฮอนงันจิ ในโอซากา ซึ่งเป็นวัดใหญ่ มีสานุศิษย์ที่รํ่ารวยมากมาย มีขุมกำลังซามูไรที่สามารถ ซึ่งก็คือ ภิกษุสมณะของวัดนั่นเอง บรรดาหลวงพ่อและหลวงพี่แห่งวัดนี้ ใช้เวลานอกเหนือการปฏิบัติธรรม มาฝึกฝนการใช้ดาบและธนูอย่างชํ่าชอง จนต่อต้านกองทัพปืนยาวของโนบูนางะได้นานถึง 11 ปี! โนบูนางะจึงเปลี่ยนไปใช้การบุกทางทะเล โดยใช้ปืนใหญ่ขนาดเล็ก ระดมยิงจากเรือเหล็ก ซึ่งยุทธวิธีนี้ลํ้าหน้ากว่าการรบทางเรือของอเมริกาในสงครามกลางเมืองถึง 300 ปีทีเดียว !!


ดี แต่ว่าพระจักรพรรดิทรงเห็นว่า วัดใหญ่และสำคัญแห่งนี้จะไม่รอดพ้นความพินาศ จึงยื่นพระหัตถ์มาไกล่เกลี่ย โดยให้โนบูนางะครอบครองโอซากาได้ และภิกษุในวัดฮอนงันจิก็ยังปฏิบัติธรรมต่อไปอย่างอิสระได้เช่นกัน ซึ่งพระท่านก็ยินดีที่ไม่เสียหน้าต้องยอมแพ้


ถึงจุดนี้ ถ้าจะกล่าวว่า นักดาบซามูไรขนานแท้รุ่นสุดท้าย ที่ยืนหยัดต่อสู้กับอาวุธไฮเทค (ในยุคนั้น) ได้อย่างทรหด ก็คือ สมณะแห่งพุทธศาสนา นั่นเอง


 

ใน ที่สุดโนบูนางะก็มีอำนาจสูงสุดในญี่ปุ่น เขามิได้เก่งในเชิงรบอย่างเดียว หากการบริหารก็เยี่ยมยอด เขาบูรณะวังหลวงให้แก่จักรพรรดิ เพิ่มรายได้ประจำปี ให้พระองค์ เพื่อให้สมแก่ พระเกียรติ เขาสนับสนุนโชกุน โยชิอากิ แต่เมื่อโชกุนมีทีท่าไม่น่าไว้ใจ เขาก็เนรเทศไปเสียจากนครหลวง เขาเคยกล่าวกับบาทหลวงฟรังส์ว่า

"ไม่ว่าจักรพรรดิหรือโชกุน ข้าก็ควบคุมได้อย่างสมบูรณ์หมดสิ้นแหละ"

นอกจากนี้ โนบูนางะ ยังเสริมสร้างความแข็งแรง ในด้านเศรษฐกิจ และค้าขายให้กับญี่ปุ่น ด้านการทหาร ก็มีทหารม้าชั้นดีถึง 20,000 นาย

แต่วาระสุดท้ายของเขา ก็มาถึงอย่างกะทันหันในปี 1582 ขณะที่เขาพักผ่อน อยู่ในที่พำนักในเกียวโต แวดล้อมด้วยทหารในสังกัด ของนายพลอาเคชิ มัตสุฮิเดะ ผู้ซึ่งฝักใฝ่ในองค์จักรพรรดิ และต้องการโค่นล้มโนบูนางะ บาทหลวงฟรังส์ บันทึกเหตุการณ์ตอนนี้ไว้ว่า


"เหล่า ทหารของอาเคชิ กรูผ่านประตูเข้าไปอย่างรวดเร็วโดยไม่มีการขัดขวาง เนื่องจากไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดการกบฏ โนบูนางะเพิ่งล้างหน้าล้างตาหลังตื่นนอนเช้าตรู่ ทหารที่ทรยศได้ยิงธนูเสียบสีข้างของเขา โนบูนางะกระชากลูกธนูออก แล้วฉวยดาบโค้งยาวออกมาต่อสู้

แต่ อีกเพียงครู่เดียวก็ถูกยิงเข้าที่แขนอีก เขากลับเข้าไปในห้องแล้วปิดประตูลั่นดาล บางคนกล่าวว่าเขากระทำฮาราคีรี แต่บางคนก็เชื่อว่าเขาจุดไฟเผาห้องและตายในกองเพลิง เรารู้แน่นอน แต่เพียงว่า บุรุษผู้ที่แม้แต่ทารกก็ยังเงียบเสียงเพียงได้ยินชื่อเขา ได้ตายไปในที่นั้นโดยไม่เหลือร่องรอย ใดๆกระทั่งผมสักเส้นเดียว..."

จุด จบของผู้ที่สยบนักรบซามูไรได้อย่างราบคาบ ช่างน่าเศร้าเสียนี่กระไร หรือเป็น ผลกรรมตามสนองจากการที่เขาได้เข่นฆ่าอย่างทารุณ ต่อสมณะนักสู้ในพระพุทธศาสนา... หรือซามูไรรุ่นสุดท้ายนั้นเอง

Robot's region

http://www.artsmen.net/content/show.php?Category=mythboard&No=4306


ใน ประเทศที่พัฒนาแล้วนั้น อัตราค่าจ้างแรงงานจะสูง จึงได้มีการคิดอ่านประดิษฐ์ อุปกรณ์ที่เคลื่อนไหวได้เองขึ้นใช้แทนแรงงานมนุษย์ เช่น ใช้ในอุตสาหกรรมประกอบรถยนต์ การผลิตที่ต้องสัมผัสกับสารพิษอันตราย ใช้ให้เก็บกู้วัตถุระเบิด ฯลฯ และปัจจุบันนี้ยังพยายามสร้างหุ่นยนต์ ที่มีลักษณะละม้ายคล้ายมนุษย์ เพื่อเอามาใช้สำหรับงานบ้านแทน อุปกรณ์ ต่างๆ ที่ว่ามานี้เรียกกันว่า โรบ็อท (ROBOT)





ซึ่งหากเราจะนิยามความหมายของโรบ็อทก็จะได้ว่า คือ เครื่องจักรที่สามารถเคลื่อนไหวและทำงานได้โดยตนเอง ไม่จำเป็นต้องมีรูปร่างอย่างมนุษย์ ส่วนเครื่องจักรที่ใช้รีโมตควบคุมนั้น ไม่ถือว่าเป็นโรบ็อทของแท้ แม้แต่เครื่องจักรอัตโนมัติที่ทำงานซํ้าๆ อยู่กับที่เราก็ไม่ถือว่าเป็นโรบ็อทเช่นกัน เพราะมันทำงานได้จำกัดเพียงอย่างเดียว คอมพิวเตอร์ก็ไม่ใช่โรบ็อท เพราะมันเคลื่อนไหวไม่ได้ หากทว่ามันเป็นชิ้นส่วนที่สำคัญยิ่งของโรบ็อท


อันคำว่า "โรบ็อท" นี้มีกำเนิดมาจากนักเขียนบทละครชาวเชโก-สโลวะเกีย นามว่า คาเรล คาเพ็ก (Karel Capek) เขาได้แต่งละครเรื่องหนึ่งขึ้นในปี ค.ศ.1920 ในชื่อ "โรบ็อทของรอสซั่ม (Rossum's Universal Robots)" เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับหุ่นยนต์ที่ลักษณะคล้ายมนุษย์ ซึ่งเขาขนานนามมันว่า โรโบตา (ROBOTA) แปลว่า กรรมกรผู้ทำงานหนัก และพอละครเรื่องนี้ไปแสดงที่กรุงลอนดอนในปี ค.ศ.1923 คำว่าโรบ็อทในภาษาอังกฤษก็แพร่สะพัดตั้งแต่นั้นมา


แต่อันที่จริง มนุษย์ได้มีการประดิษฐ์ อุปกรณ์ที่เคลื่อนไหวได้มาแต่ครั้งดึกดำบรรพ์แล้วครับ โดยชาวกรีกเรียกมันว่า ออโตมาตา (automata) ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า "อัตโนมัติ" นั่นเอง

เจ้าออโตมาตาชิ้นแรกของโลกประดิษฐ์ขึ้นในราว 400 ปี ก่อน ค.ศ. โดยฝีมือนักวิทยาศาสตร์กรีกชื่อ อาร์คายตาส (ARCHYTAS) แห่งตาเรนตัม เขาทำนกพิราบเทียมที่สามารถบินวนอยู่รอบๆ แขนเขาได้ ปีกของมันขยับขึ้นลงโดยอาศัยพลังงานไอนํ้าหรือแรงลม อาร์คายตาสไม่ได้ทำขึ้นเพื่อเป็นของเล่นเด็กหรอกครับ แต่ใช้มันในการขบคิดทฤษฎีคำนวณเกี่ยวกับเครื่องจักรต่างๆ




ออโตมาตาที่โด่งดังต่อมาในศตวรรษที่ 18 ก็คือ "นักเป่าขลุ่ย (FLAUTIS)" สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1783 โดยวิศวกรฝรั่งเศสชื่อ Jacques de Vaucanson หุ่นยนต์ของเขาสามารถเป่าขลุ่ย ออกมาได้ถึง 12 เพลง อย่างไพเราะ โดยมีการขยับนิ้วมือที่ทำด้วยไม้และมี "ปอดเทียม" ด้วย บรรเลงได้ดีจนบางคนเชื่อมั่นว่าต้องมีนักดนตรี ตัวจริงแอบแฝงอยู่ภายในเครื่องแน่ๆ



และในเวลาไล่เลี่ยกันนั้น คือ ปี ค.ศ. 1769 นักประดิษฐ์ชาวเยอรมันชื่อ โวล์ฟกัง ฟอน เคมเปเลน ก็ได้สร้างหุ่นยนต์เล่นหมากรุกขึ้น โดยเรียกมันว่า "เดอะเติร์ค (THE TURK)" มันสามารถเล่นหมากรุก สู้กับคนได้แบบ (เดิน) ตาต่อตา แถมยังเก่งกาจเอาชนะ ได้เป็นส่วนใหญ่เสียด้วย หากทว่าแท้ที่จริงแล้วมีนักเล่นหมากรุก มืออาชีพซ่อนตัวอยู่ภายในโต๊ะ และคอยขยับเดินตัวหมาก  แหม...แบบนี้ ถือเป็นการหลอกลวง ไม่ใช่ โรบ็อทของแท้แต่อย่างใด





ปลาย ศตวรรษที่ 18 นี้ เป็นยุครุ่งเรืองของหุ่นยนต์ เพราะในปี ค.ศ.1795 ก็มีผู้ประดิษฐ์ของเล่นชิ้นหนึ่งถวายสุลต่าน ทิปปู แห่งอินเดีย เรียกกันว่า "พยัคฆ์แห่งไมซอร์ (THE TIGER OF MYSORE)" เป็นรูปเสือโคร่งทำด้วยไม้ ภายในมีออร์แกนซ่อนอยู่ ไอ้เสือตัวนี้อยู่ใน ท่าหมอบ ตะปบทหารอังกฤษที่นอนแผ่หรา พอหมุนก้านยนต์ที่ไหล่ เจ้าเสือมันก็ขยับเคลื่อนไหวพร้อมกับส่งเสียงขู่คำราม ส่วนทหารเคราะห์ร้ายก็ดิ้นรนและร้องโหยหวน ซึ่งเสียงต่างๆ ก็เกิดจากออร์แกน ที่มีการอัดลมเอาไว้นั่นเอง

อุปกรณ์ของเล่นกลเหล่านี้นิยมทำขึ้นกันมาก โดยเฉพาะในญี่ปุ่นและฝรั่งเศส จัดว่ามีการใช้เทคนิคแปลกๆ ที่ทำให้คนดูพิศวงไปตามๆ กัน



"เอ...มันทำได้ยังไงหวา"

อย่างเช่น ในช่วง ค.ศ.1615-1865 มีการพัฒนาหุ่นกลนี้ขึ้นหลากหลายใน ญี่ปุ่นเรียกกันว่า คารา คูริ และเจ้าหุ่นกลคาราคุริที่น่าทึ่งที่สุด ก็คือตุ๊กตาสาวเสิร์ฟนํ้าชา โดยเมื่อเจ้าของบ้านวางถ้วยนํ้าชา ลงบนถาดที่เจ้าตุ๊กตาหุ่นถืออยู่ นํ้าหนักของถ้วยจะไปกดกลไกด้านล่าง เจ้าตุ๊กตาหุ่นก็จะเริ่มออกเดินช้าๆ ไปหาแขกผู้มาเยือน เมื่อแขกยกถ้วยนํ้าชาขึ้นจากถาด มันก็จะหยุดอยู่กับที่ พอแขกดื่มแล้วและวางถ้วยคืนบนถาด เจ้าตุ๊กตาจะหมุนตัวกลับ แล้วเดินไปอยู่ที่เดิมของมัน...






แต่นั่นก็ยังเป็นโรบ็อทที่ไม่สมบูรณ์แบบ ตามที่มนุษย์ใฝ่ฝัน หุ่นยนต์ตามจินตนาการของมนุษย์ ต้องทำอะไรๆ ได้เกือบเท่าคน
ดังจะเห็นได้จากในนิยาย หรือภาพยนตร์ต่างๆ

อย่างเช่น เจ้าหุ่นของรอสซั่มที่กล่าวมาแล้ว หรือในหนังเงียบเรื่อง "เมโทรโปลิส (Metropolis)" ที่สร้างขึ้นใน ค.ศ.1926 โดยฝีมือผู้กำกับฯ เยอรมันชื่อ ฟริทซ์ แลง มีการใช้หุ่นยนต์ผู้หญิง ซึ่งสามารถเคลื่อนไหวได้ราวกับคนจริงๆ (ใช้เทคนิคถ่ายทำนะครับ เคลื่อนไหวเองไม่ได้) ถือกันว่าเจ้าหุ่นตัวนี้แหละที่เป็นแม่แบบโรบ็อทตัวแรกของโลก



ถัดมาในปี ค.ศ.1956 หนังเรื่อง "โลกต้องห้าม (Forbidden Planet)" เมื่อกัปตันอดัมส์ร่อนยานอวกาศลงบนดาวดวงหนึ่ง ก็มีหุ่นยนต์ ร็อบบี้ เดอะ โรบ็อท มาต้อนรับ

"คุณพูดอังกฤษได้มั้ย" เจ้าร็อบบี้ทักทาย "ถ้าพูดไม่ได้ ผมก็ยังพูดภาษาอื่นได้อีก 187 ภาษา บอกมาละกัน"

เจ้า ร็อบบี้ เดอะ โรบ็อทได้เป็นต้นแบบของตุ๊กตาหุ่นยนต์ของเล่นอีกมากมาย ในรูปแบบของกล่องที่มีสองขาเดินเตาะแตะ ส่วนใหญ่จะใช้การไขลาน



โรบ็อทอีกตัวหนึ่งซึ่งโด่งดังในช่วงปี ค.ศ.1963-1989 อยู่ในหนังทีวีซีรี่ส์ของอังกฤษเรื่อง "Doctor Who" หน้าตาไม่เหมือนคนหรอก แต่เป็นแท่งโลหะที่เลื่อนไปมาได้ในชื่อ เจ้า "ดาเล็คส์"

แล้วก็มีที่แฟนหนังพันธุ์แท้ต้องรู้จักกันดี คือเจ้า "ซีทรีพีโอ" กับ "อาร์ทูดีทู" ในหนัง "สตาร์วอร์" สร้างใน ค.ศ.1980

และหุ่นยนต์มือปราบบู๊ดุเดือดในชื่อ "โรโบค็อป" สร้างใน ค.ศ.1987 โดยเมื่อโปลิศหนุ่ม อเล็กซ์ เมอร์ฟี่ โดนฆาตกรรม สมองของเขาถูกนำมาใส่ในหุ่นยนต์ระดับอัลติเมต กลายเป็น "โรโบค็อป" ตามล่าอาชญากรทั้งหลายจนเกลี้ยงเมือง




ส่วนในโลกแห่งความจริง มนุษย์ได้ประดิษฐ์ โรบ็อท ไว้ใช้งานหลายหลาก
เช่น ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิต ใช้ประกอบการเรียนการสอน ใช้ในห้องแล็บ ใช้เป็นอุปกรณ์การแพทย์ ใช้เป็นรถสำรวจบนพื้นผิวดาวเคราะห์หรือพระจันทร์ แม้กระทั่งในด้านการดนตรีและศิลปกรรมต่างๆ ก็มีการนำเอาโรบ็อทมาใช้ประโยชน์ได้


แต่ สุดยอดโรบ็อทที่มนุษย์ต้องการก็คือ หุ่นยนต์ ที่มีรูปร่างหน้าตาใกล้เคียงกับมนุษย์มากที่สุด เดินได้ หยิบจับอะไรต่ออะไรได้ ถือไม้กวาดและผ้าขี้ริ้วทำความสะอาดบ้านได้เองโดยไม่ต้องสั่ง เรียกว่าทำได้สารพัดอย่าง เช่นเดียวกับผู้ช่วยแม่บ้านชั้นดี ซึ่งขณะนี้ก็ได้มีการพัฒนาโรบ็อทแบบนี้จนถึงระดับหนึ่งแล้ว


อย่างเช่น เจ้าอาซิโม (ASIMO) ที่ฮอนด้าสร้างขึ้นใน ค.ศ.2000 หลังจากเพียรค้นคิดอยู่นานถึง 14 ปี และเจ้าโรบ็อทที่พัฒนาขึ้นล่าสุดใน ค.ศ.2003 เจ้ามีช่า (MECHA) หรือ HRP-2 ที่บริษัทคาวาดาของญี่ปุ่นผลิตขึ้นให้เป็นโรบ็อทแห่งอนาคต สามารถลุกขึ้นยืนเองได้เมื่อหกล้ม

ยังไม่พอ...ยังไม่เพียงแต่เป็นหุ่นโลหะไร้จิตใจเท่านั้น มันจะต้องมีความรู้สึกดีใจ เศร้าใจ โกรธเป็น รู้จักนึกคิดเองอีกตะหาก

ถึงจะเป็นโรบ็อทสมบูรณ์แบบ




http://www.artsmen.net/content/show.php?Category=mythboard&No=4306





Tuesday, January 5, 2010

Life of upstream writer

              
     ชีวิตของกา่รทำกิจกรรมการเขียนการ์ตูน บทความและเนื้อหาทวน       กระแสนั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างอันตรายมากๆ เพราะการไปพาดพิงในสิ่งที่     กระแสโลกมันหมุนไปนั้น หากด่ากัน   รุนแรงก็อาจถึงตายได้ เพราะบางกลุ่ม บางบุคคล และบางประเทศนั้น          อาจลอบฆ่าเราได้                        

ผมเป็นคนหนึ่งที่เป็นลูกจีนแท้มาจาก  แผ่นดินใหญ่ ซึ่งผมมีสิทธิโดยชอบ     ธรรมที่จะเกลียดญี่ปุ่น                   

แต่เนื่องจาก การเขียนเกี่ยวกับหลั่ง    เลือด(สังหารหมู่)ที่นานกิงมันก็จะโหล
ทำให้บทความของผมนั้นไม่มีค่า       คนด่าผมก็มากหน้าหลายตาหลาก     หลายฝ่ายทั้งทุนนิยม คอมมิวนิสต์ คนไทย ไต้หวันและจีน       แต่คนเรายังไงก็คือคนทำไรที่มันไม่     แหวกแนวก็จะต้องตายในที่สุด และพวกเขาเหล่านั้นไม่มีัสิทธิ์ที่จะมาห้ามผมเขียน                         

ผมเป็นคนที่เขียนเกี่ยวกับญี่ปุ่นมากก็จริงแต่ผมก็เขียนตามประวัติศาสตร์ว่าญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งมที่สองจริงอยู่ที่ผมอาจจะเขียนถึงทหารกองจักรวรรดิญี่ปุ่นนั้นแข็งแกร่งมากๆแต่นั่นมันก็ไม่ได้เบียดเบือน   ประวัติศาสตร์นี่ครับ                พวกเขาจบไปนานแล้วผมก็ไม่ได้เอามาฟื้นฟูสักหน่อยแค่เล่าสู่กันฟัง   เรื่องราวในอดีตแค่นั้นเอง                                                                                            

                                                                                                                          

                                                                                                                         

พวกที่ชอบด่าว่าอักษะน่ะผมจะบอกความจริงที่ไม่มีใครเชื่อให้ก็ได้เรื่องหนึ่งที่ว่าการพัฒนาอาวุธเชื้อโรคสุดโหดของทั้งสองฝ่ายมหาอำนาจปัจจุบันให้รู้ใว้ว่าการพัฒนาเชื้อโรคที่สุดร้ายแรงมีหลังกระจายมากและมีอายุยืนนานมากๆนั้นทั้งสองฝ่ายนี้ได้เอามาจากฐาน UNIT 731 ทั้งสิ้น
และปืนอาก้าก็ใช้ STG 44(MP 44)เป็นต้นแบบ



อย่างเช่นมรว.คึกฤทิ์ ปราโมช
http://www.alittlebuddha.com/Santi%20Asok/Kukrit.jpg
ท่านเขียนหนังสือเกี่ยวกับโจโฉ นายกฯตลอดกาล ซึ่งท่านอาจารย์ได้เขียน หนังสือทวนกระแสของ
สามก็กให้ดูกลับตาลปัต......................คือการทำให้โจโฉเป็นพระเอก และ พวกเล่าปี่ กวนอูเตียวหุยเป็นตัวร้ายแทน