Can't find it? here! find it

Wednesday, June 18, 2008

communist uniform

russian
laos

china




vietnam



just this 1st i'll upload more later

ปลดนาวิกฯ มะกัน - คลิปฆ่าหมาอิรัก
ปลดนาวิกฯ มะกัน - คลิปฆ่าหมาอิรัก







เอพีรายงานเมื่อ 12 มิ.ย.ว่า กองทัพนาวิกโยธินสหรัฐอเมริกาสั่งขับทหารนาวิกโยธินที่ปรากฏในคลิปวิดีโอ เผยแพร่ทางเว็บไซต์ยูทูบ นาทีฆ่าลูกสุนัขอย่างเลือดเย็นโดยโยนจากหน้าผาสูงระหว่างปฏิบัติหน้าที่ลาดตระเวนในอิรัก และมีเสียงพูดคุยที่แสดงถึงความสนุกสนานที่ก่อเหตุดังกล่าว เป็นคลิปที่วิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วโลกตั้งแต่เผยแพร่เมื่อ 3 มีนาคมที่ผ่านมา กลุ่มพิทักษ์สิทธิสัตว์ออกมาประณามอย่างกว้างขวาง

คลิปดังกล่าวมี ความยาว 17 วินาที เป็นภาพนาวิกโยธิน 2 นายคุยเล่นกันที่หน้าผา ขณะหิ้วคอลูกสุนัขตัวเล็กสีขาวดำโชว์กล้อง โดยมีเสียงลูกสุนัขร้องหงิงๆ จากนั้นทหารนายหนึ่งก็ขว้างสุนัขขึ้นไปบนฟ้าให้ตกลงไปตายด้านล่างหน้าผา ส่วนอีกนายหนึ่งพูดว่า "ใจร้ายนะ ใจร้ายนะ โมทารี"

นายทหารทั้งสอง ที่อยู่ในคลิปมีชื่อว่า สิบตรี เดวิด โมทารี ถูกลงโทษทางวินัยที่ไม่ใช่ทางศาล และให้ออกจากกองทัพเพราะการกระทำดังกล่าว ส่วนนายจ่าคริสมาวิน บาเนซ เอ็นคาร์นาซิออน ถูกลงโทษที่ไม่ใช่ทางศาลเช่นกัน ทั้งนี้ ผลของการลงโทษที่ไม่ใช่ทางศาลจะไม่เปิดเผยต่อสาธารณชน ภายใต้บทบัญญัติว่าด้วยสิทธิส่วนบุคคล

ด้านเจ้าหน้าที่นาวิกโยธิน ประจำฐานทัพในฮาวาย ต้นสังกัดของสิบตรีเดวิด แถลงว่า ทางกองทัพเปิดการสอบสวนทันทีที่ทราบเรื่อง และเห็นว่าการกระทำในคลิปวิดีโอนั้นเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับวินัย ขั้นสูงที่กองทัพคาดหวังจากนาวิกโยธิน ในขณะที่นาวิกโยธินนายอื่นๆ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยเกียรติและ มีความเห็นอกเห็นใจ ทำให้ชาวอเมริกันภาคภูมิใจ สองคนนี้กลับทำตรงข้าม

ด้านครอบครัวสิบ ตรีโมทารีเปิดเผยว่า สมาชิกในครอบครัว ไม่ได้อยู่เป็นสุขเลยนับจากคลิปเผยแพร่ออกไป ทั้งถูกด่าและถูกข่มขู่ทำร้าย นายอำเภอต้องคอยไปดูที่บ้านให้บ่อยๆ

Monday, June 9, 2008

got to know

ปิโตรเลียม (Petroleum) เป็นสารประกอบสถานะต่างๆ ที่มีไฮโดรคาร์บอนเป็นตัวประกอบหลัก ได้แก่ น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ และก๊าซธรรมชาติเหลว (Condensate) นอกจากนี้ก็มีสารอินทรีย์ที่มีกำมะถัน ออกซิเจนและไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบอีกหลายชนิด ทั้งนี้ น้ำมันดิบจะมีคุณลักษณะและคุณสมบัติแตกต่างกันไปตามสัดส่วนของไฮโดรคาร์บอนประเภทต่างๆ ที่มีอยู่ ซึ่งจะผิดแผกไปตามที่มา ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญในการกำหนดคุณค่าของน้ำมัน การกำหนดวิธีการและกระบวนการผลิตที่เหมาะสมในการกลั่นน้ำมันต่อไป
เมื่อกล่าวถึงปิโตรเลียม คงจะสามารถแบ่งออกเป็น 4 ส่วนหลัก ดังนี้
1. การกำเนิดและการสำรวจปิโตรเลียม
2. กระบวนการกลั่น
3. ผลิตภัณฑ์
4. ส่วนการจำหน่าย

Petroleum are the ingrediences. Which has Haidrogent as the main ingrediences. For example Oil netural gas, and condensate. other things that they also including germ which are sulfur inside. Oxygent, and Nitrogent are including is many kind of it. Even that they must depend on oil. They are also making differents. Depend on what kind of oil u've got.
Talking about the Petroleum it's saparated on 4 main things
1.origin and discovering the Gas
2.producing
3.production
4.distribute

Sunday, June 8, 2008

laser gun

เผยอเมริกามี 'ปืนรังสี' ยิงทีเดียวชักดิ้น ชักงอทั้งฝูง !!
เผยอเมริกามี 'ปืนรังสี' ยิงทีเดียวชักดิ้น ชักงอทั้งฝูง !! ปืน , รังสี , ทหาร , แปลก ,
ปืนรังสี ยิงแล้ว ชักดิ้น ชักงอ
นิตยสารเรื่องวิทยาศาสตร์ “เดอะ ไซเอนติสท์” อันมีชื่อเสียงของอังกฤษ เปิดเผยว่า รายงานของกองทัพอเมริกัน ได้เปิดเผยผลการทดลองใช้ “ปืนรังสี” แปลกๆ หลายชนิดด้วยกัน
บางชนิดจะทำให้ฝูงชนเกิดเป็นไข้ บางแบบสามารถยัดเยียดถ้อยคำเข้าไปในกะโหลกศีรษะ และบางชนิดจะบังคับให้คนชักดิ้นชักงอ เหมือนกับเป็นลมบ้าหมูได้
รายงานแจ้งว่า “ปืนรังสี” เหล่านี้ ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อใช้ควบคุมฝูงชนและใช้งานอย่างอื่น เป็นอาวุธทางชีววิทยาที่ไม่ทำให้ถึงแก่ชีวิต มีทั้งแบบที่ใช้รังสีไมโครเวฟ รังสีเลเซอร์และเสียง และบางแบบเช่นแบบใช้รังสีแม่เหล็กไฟฟ้าที่จะทำให้ผู้ที่ตกเป็นเป้าหมาย ล้มลงชักดิ้นชักงอ เหมือนกับผู้ที่เป็นลมบ้าหมู
“ปืนรังสี” แบบที่เคยทดลองออกใช้มาแล้ว ได้แก่ แบบ ที่ใช้รังสีไมโครเวฟ ในระยะใกล้ จะปล่อยเสียงดังกัมปนาทเข้าไปในรูหูของฝูงชน จนทำให้ผู้คนต้องล้มทั้งยืน นอกจากนั้นกองทัพบกสหรัฐฯยังเคยทดลองใช้แบบรังสีเลเซอร์ ทำให้ฝูงชนรู้สึกงงงวย ในอิรักมาแล้ว ในขณะที่สหรัฐนาวีเคยนำออกใช้เพื่อขับไล่พวกโจรสลัด ในทะเลนอกฝั่งโซมาเลียด้วย.

Chess secret-Davinci

ตำราหมากรุกที่สาบสูญของ "ดาวินชี"

ลีโอนาโด ดาวินชี (พ.ศ.1995-2062) เป็นอัจฉริยะในหลายด้าน นอกจากเป็นจิตรกรที่มีฝีมือขั้นเทพสร้างสรรค์ผลงานโด่งดังมีชื่อเสียงข้าม ศตวรรษอย่างภาพโมนาลิซาแล้ว
ยังเป็นนักวิทยาศาสตร์ และนักประดิษฐ์ออกแบบนวัตกรรมที่มองไกลถึงอนาคต
อัจฉริยะ แห่งยุคเรอเนสซองซ์ท่านนี้ มีความสนใจหลากหลาย และเชี่ยวชาญในหลายด้าน ทั้งภาพวาด คณิตศาสตร์ ดนตรี วิศวกรรม กายวิภาค และพฤกษศาสตร์ ล่าสุดนักประวัติศาสตร์พบว่า ดาวินชี อาจเขียนตำราหมากรุกที่สาบสูญด้วยเช่นกัน
หลักฐานเรื่องนี้ปรากฏ อยู่ในบันทึกที่เขียนโดย ลูก้า ปาซิโอลิ นักคณิตศาสตร์และเพื่อนของดาวินชี บันทึกดังกล่าวซึ่งเขียนไว้เมื่อ พ.ศ.2043 เพิ่งถูกค้นเจอหลังเก็บอยู่หลายศตวรรษในห้องสมุดตระกูลขุนนางตระกูลหนึ่งใน อิตาลี
ผู้เชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรมและประติมากรรมรายหนึ่ง ที่ได้ศึกษาแบบร่างดังกล่าวบอกว่า เป็นงานที่พิเศษมากสำหรับยุคนั้น หรือถ้ามองจากปัจจุบันก็ยังถือว่าเป็นงานที่ล้ำยุคอยู่ดี
ตำรานี้มี ชื่อเป็นภาษาละตินว่า "เดอ ลูโด ซัคโครุม" แปลว่า "ว่าด้วยเกมหมากรุก" กล่าวถึง 100 ปัญหาการเดินหมากที่กดดันให้คู่แข่งจนมุมภายในไม่กี่ตาเดินหมาก
ตำราหมากรุกของดาวินชีเพิ่งถูกค้นพบเมื่อปีที่แล้ว ปะปนอยู่กับหนังสืออีก 2.2 หมื่นเล่ม ของครอบครัวโคโรนินี เก็บรักษาอยู่ในวัง ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองกอริซา ในอิตาลี
ผู้ประสานงานด้านวัฒนธรรม มูลนิธิที่ดูแลทรัพย์สินของตระกูลนี้ กล่าวว่า ตำราหมากรุกที่พบเปรียบเสมือน "จอกศักดิ์สิทธิ์" ซึ่งทุกคนรู้ว่ามันมีอยู่ แต่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน
ตำราดังกล่าวมีภาพประกอบเป็นตำแหน่ง หมากรุกสีแดงและสีดำเป็นหมากกล แบบวาดเขียนด้วยเส้นบางๆ ซึ่งไม่ค่อยคุ้นตา ผู้ประสานงานที่ดูแลสินทรัพย์เลยให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบภาพวาด หลังจากวิจัยอยู่เป็นปี ผู้เชี่ยวชาญจึงสรุปว่า ปาซิลีได้รับความช่วยเหลือจากดาวินชีเขียนภาพให้ ทั้งสองเคยทำงานร่วมกันในมิลานช่วงเดียวกับที่ดาวินชีกำลังเขียนภาพ "อาหารมื้อสุดท้าย" ของพระเยซูเจ้า หรือ เดอะ ลาสต์ซัพเพอร์ อันโด่งดัง
หมาก รุกในภาพวาดมีความสัมพันธ์กันทุกตัว และเป็นรูปแบบศิลปะเฉพาะของดาวินชี นอกจากนี้ หมากรุกบางตัวยังชวนให้นึกถึงงานชิ้นอื่นของดาวินชีได้อย่างชัดเจน ยกตัวอย่าง ตัว "ควีน" ที่ดูคล้ายกับภาพวาดน้ำตกที่ปรากฏในแบบร่างหลายภาพของดาวินชี
อย่าง ไรก็ตาม ภาพวาดหมากแต่ละตัวมีคุณภาพต่างกัน บางภาพวาดด้วยมือขวา และบางภาพวาดด้วยมือซ้าย แสดงให้เห็นว่า ดาวินชีซึ่งเป็นศิลปินที่ถนัดซ้ายอาจวาดภาพเป็นต้นแบบเพียงไม่กี่ตัว ส่วนภาพอื่นเป็นเพียงแนวทางชี้แนะให้แก่ปาซิโอลีเท่านั้น
ถึงกระนั้น ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์แสดงผลงานของดาวินชี กล่าวว่า เป็นไปได้ที่ภาพวาดดังกล่าวเป็นฝีมือของดาวินชี แต่ก็จำเป็นต้องพิสูจน์กันให้ชัดเจน

super excellent idea


ฮัลโหล...นาฬิกาข้อมือ(ที่เป็นข่าว)

ที่เห็นอยู่นี้ไม่ใช่แค่นาฬิกาดิจิทัลอย่างเดียวนะคะ แต่โฟนวัน รุ่น P001 น่ะเค้าออกแบบให้เป็นโทรศัพท์มือถือด้วยนะ
แค่ชื่อรุ่นก็ยังกระเดียดไปทางสายลับ เรียกตัวเองว่า P001 แต่ขอเรียกว่า มือถือสายลับก็แล้วกัน
โฟนวัน รุ่นนี้ เป็นโทรศัพท์มือถือที่ออกแบบให้เป็นนาฬิกาข้อมือ รูปทรงเหมือนนาฬิกาของผู้ชาย ออกแนวสปอร์ตสีดำทั้งเรือน ไม่เหมาะกับข้อมือของสาว ๆ หน้าจอเป็นดิจิทัล ราคาประมาณ 9,000 บาท
เริ่มด้วยแกะเอาตัวเรือนออกมาก่อน แล้วเปิดฝาหลังซึ่งเป็นทั้งแบตเตอรี่และฝาหลัง เพื่อใส่ซิม แล้วปิดเอาไว้เหมือนเดิม จากนั้นก็กดปุ่มเปิดเครื่องเพื่อหาเครือข่ายใช้เวลาไม่นาน เป็นอันเสร็จ
ข้อมูลตัวเครื่อง รองรับระบบ Dual Band หรือจีเอสเอ็ม หน้าจอหรือบริเวณแผงหน้าปัดนาฬิกา เป็นจอ TFT กว้าง 1.3 นิ้ว เป็นหน้าจอระบบสัมผัส หน่วยความจำในตัวเครื่อง 16 MB เพิ่มหน่วยความจำภายนอกได้ ใช่ว่าจะมีแค่นี้ บริเวณด้านบนที่เห็นรูปวงกลมเล็ก ๆ นั่นน่ะคือกล้องดิจิทัลความละเอียด 0.3 ล้านพิกเซล ความคมชัดของ ภาพที่ถ่ายออกมาก็ตามคุณภาพอยู่ในระดับดูออกว่าเป็นรูปอะไร
หากชอบฟังเพลงก็ยังรองรับไฟล์เอ็มพี3 ใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ผ่านจีพีอาร์เอส ยังไม่หมดแค่นั้นนะ มีบลูทูธมาให้ด้วย เพราะเวลาใช้งานรับสายเข้าหรือโทรฯออก หรือฟังเพลง จะมีหูฟังบลูทูธแบบเสียบสองหูมาให้คุณภาพเสียงลองเปิดจนสุดแล้วก็ยังเบาอยู่ ครั้นจะใช้โทรฯให้เสียงดังผ่านลำโพงก็ต้องยกข้อมือมาไว้ใกล้ปาก เหมือนสายลับในหนังเค้าทำกัน ก็กลัวว่าความลับจะรั่วไหล เดี๋ยวคนรอบข้างรู้หมดว่ามีกิ๊กกี่คน
จอของ P001 เป็นระบบสัมผัส จะมีปากกาสไตลัสอันเท่าไม้จิ้มฟันเสียบมาที่สายนาฬิกา ยืดออกมาได้อีกนิดนึง เวลาใช้แนะนำให้เก็บให้ดี เพราะโอกาสหายมีสูงมาก หากไม่ใช้ปากกาสไตลัสก็ใช้นิ้วมือนี่แหละสัมผัสสั่งงานเอา แผงด้านขวาสำหรับรับสายและวางสาย แผงด้านซ้ายเป็นระดับเสียง และเข้าถึงเมนู ต่าง ๆ หากมือใหญ่ นิ้วใหญ่อาจจะใช้งานลำบากเหมือนยักษ์เขียวในการ์ตูน ด้านข้างจะเป็นช่องเสียบชาร์จแบตและใส่การ์ด
เวลาจะโทรศัพท์ ก็แตะหน้าจอ แผงปุ่มกดจะขึ้นมา จะหารายชื่อที่เก็บไว้ก็รวดเร็วดี แค่เลือกตัวอักษรรายชื่อที่เราเก็บไว้ก็จะขึ้นมาโชว์ทั้งหมด
โฟนวัน P001 เป็นนวัตกรรมใหม่ ๆ ของโทรศัพท์มือถือที่นำนาฬิกาข้อมือและโทรศัพท์มาไว้รวมกันเหมือนจินตนาการในหนัง แต่ยังต้องพัฒนากันอีกมาก หากจะนำไปใช้งานกันจริง ๆ โดยเฉพาะเรื่องแบตเตอรี่ฟังก์ชันในตัวเครื่อง คุณภาพเสียงจากลำโพงและหูฟัง เพื่อให้สะดวกและเข้าถึงบริการที่ต้องการใช้ได้อย่างง่าย ๆ และเร็ว
แต่...ถ้าไม่คิดอะไรมาก ชอบเทคโนโลยีแปลกใหม่ ประเภทใช้แล้วเท่เหลียวหลังก็ไปซื้อมาใช้เหอะ แต่อย่าลืมพกมือถือประเภทเบสิคโฟนติดตัวอีกเครื่องเป็นแผนสำรองล่ะ.

gas mask

"หน้ากากกันแก๊สสุดหรู"

หน้ากากกันแก๊สสุดไฮโซ
ดีไซน์และออกแบบโดย คุณ Diddo Velema ครับ
จริงมันแทบจะไม่ต่างจากหน้ากากกันแก๊สทั่วๆไปเลยนะครับแต่ที่มันไม่ธรรมดา เนื่องจากมันมีลวดลายที่เป็น pattern ของ Gucci หรือ Luis Vuitton
แถมที่สำคัญที่สุดที่ทำให้มันเป็น หน้ากากกันแก๊สสุดหรู ก็คือ มันดันฝังเพชรซะด้วยอ่ะครับ...สุดหรูจริงๆ
ใครสนใจรายละเอียดมากกว่านี้ รอติดตามได้ในงาน Luxury Show 2008 ที่ บูคาเรสต์ ประเทศโรมาเนีย ครับ
Hiso Gas mask
designed by Mr. Diddo Velema
Actually it doesn't different from casualty mask, But points are many pattern of Gucci, or Luis Vuitton. The main things are including the diamon also. Holy Hiso man
Interested!? go see at Luxury 2008 at Blukares in Romania.
ไอเดียอย่างเจ๋ง

รูปขนาด 600 x 301 pixels
ไอเดียอย่างเจ๋ง Tags : ไอเดีย เจ๋ง Zasx (Picpost Lv. level 5 ) โพสไปแล้ว 836 ครั้ง

ข้อความและภาพที่ถูกโพสบนหน้าเว็บ http://picpost.mthai.com เกิดขึ้นจากการ เผยแพร่โดยสาธารณชน และได้เผยแพร่แบบอัตโนมัติ ดังนั้นผู้ใช้บริการจึงต้องใช้วิจารณญาณ ในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง ถ้าหากท่านพบเห็นข้อความ หรือภาพใดๆ ที่ ผิดกฎหมาย กรุณาแจ้งมาที่ webmaster@mthai.com เพื่อทีมงานจะได้ ดำเนินการ เก็บข้อมูลและจัดส่งข้อมูลดังกล่าวให้หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องทันที ขอขอบพระคุณ
ความคิดเห็นที่ 1 2008-05-29 12:21:31

รูปขนาด 600 x 301 pixels

รูปขนาด 600 x 301 pixels
ไอเดียอย่างเจ๋ง Zasx (Picpost Lv. level 5 ) โพสไปแล้ว 836 ครั้ง

ความคิดเห็นที่ 2 2008-05-29 12:22:39

รูปขนาด 600 x 302 pixels

รูปขนาด 600 x 301 pixels

รูปขนาด 600 x 301 pixels
ไอเดียอย่างเจ๋ง Zasx (Picpost Lv. level 5 ) โพสไปแล้ว 836 ครั้ง

ความคิดเห็นที่ 3 2008-05-29 12:23:03

รูปขนาด 600 x 301 pixels

รูปขนาด 600 x 301 pixels

รูปขนาด 600 x 300 pixels
ไอเดียอย่างเจ๋ง Zasx (Picpost Lv. level 5 ) โพสไปแล้ว 836 ครั้ง

ความคิดเห็นที่ 4 2008-05-29 12:23:25

รูปขนาด 600 x 302 pixels
ไวไฟยุคหน้า (802.11n)

ผมคิดว่าท่านผู้อ่านที่ชอบเล่นอินเทอร์เน็ตนั้น จะต้องชอบไวไฟแน่นอนเพราะใช้ได้ดีแน่นอนไม่ต้องต่อสายเคเบิลให้เกะกะไปที่ ไหนก็ใช้ได้ที่นั่น และในที่สุดนักออกแบบไวไฟทั่วทั้งโลกก็ยอมประกาศเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเองว่า ไวไฟยุคหน้าออกมาในกรกฎาคมปีนี้ ซึ่งก็แน่นอนล่ะว่าไวไฟยุคหน้าก็จะต้องได้รับการพัฒนาดีกว่ายุคปัจจุบันใน หลายมิติและจะยิ่งสะดวกต่อผู้ใช้มากมายก่ายกอง ก่อนที่ไวไฟจะพัฒนามาจนถึงวันนี้ซึ่งเรียกว่า ร่าง N หรือ Draft N ซึ่ง N ก็คือ Next Generation หรือยุคหน้านั่นเอง กระบวนการก็มีการพัฒนามาโดยลำดับ ภาษาทางคอมพิว เตอร์จะมีรหัสเรียกไวไฟว่า 802.11 ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลของ IEEE ในยุคแรกเกิดใหม่ก็ประมาณปี 1997 ซึ่งขณะนั้นยังไม่ได้กำหนดมาตรฐานซึ่งเป็นรหัสเรียกจึงเรียกว่า รุ่นดั้งเดิมก็ใช้ได้ดี มีรัศมีการใช้งานในตัวอาคารประมาณ 25 เมตร นอกอาคาร 75 เมตร และความเร็วในการถ่ายข้อมูลทั่วไปอยู่ที่ 0.7 Mbps หรือสูงสุดที่ 2 Mbps เรียกว่าพอใช้ได้ มาเริ่มต้นตัวการใช้งานไวไฟเอาจริงจังก็เมื่อปี 1999 ซึ่งปีนั้นมีการออกมาสองรุ่นคือรุ่น 802.11a และ 802.11b ปรากฏว่า b ออกก่อน a ในปีนั้น เพราะต้องหาผู้ผลิตชิปในช่วงคลื่นใหม่ ซึ่งอยู่ในระดับสูงกว่าเท่าตัวแต่ก็ได้ความเร็วการโอนถ่ายข้อมูลที่สูงกว่า โดยปกติ 802.11 นั้นจะใช้ช่วงคลื่นประมาณ 2.4 ถึง 2.5 GHz ตั้งแต่รุ่นดั้งเดิมจนถึงปัจจุบันเพราะความสะดวกมากกว่า ความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลของ 802.11a อยู่ที่ 23 Mbps สูงสุดที่ 54 Mbps แต่ทำงานอยู่ที่ช่วงคลื่น ประมาณ 5 GHz ขึ้นไป ส่วนรุ่น 802.11b ความเร็วต่ำกว่าอยู่ที่ 4 Mbps สูงสุดที่ 11 Mbps แต่ใช้ช่วงคลื่นมาตรฐานในการทำงานและมีความปลอดภัย ส่วนไวไฟที่ผู้คนชื่นชอบมากก็คือรุ่น 802.11g ซึ่งออกมาในปี 2003 มีคนชอบใช้มาก เพราะได้ความเร็วและมีความแน่นอนไม่ค่อยมีการล่ม ส่วนรัศมีทำการภายในอาคารก็อยู่ที่ 35 เมตร นอกอาคารประมาณ 110 เมตร ก็ไม่ห่างจากรุ่นก่อน ๆ เท่าไรนัก แต่ความเร็วในการถ่ายข้อมูลก็ทันอกทันใจผู้ใช้โดยทั่วไปคืออยู่ที่ 19 Mbps หรือสูงสุดที่ 54 Mbps รุ่น 802.11n หรือไวไฟ ยุคหน้า หรือ WiFi Next Generation นั้น ผู้ผลิตชิปและ ผู้ออกแบบทั้งหลายของบริษัทใหญ่ ๆ ของโลกก็ตกลงว่าจะเอาสเปกนี้นั้น ก็จะมีความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลอยู่ที่ 74 Mbps และสูงสุดที่ 248 Mbps ซึ่งหมายถึงว่าความเร็วกว่ารุ่นก่อนถึงประมาณ 5 เท่า นอกจากนี้ก็ยังมีรัศมีทำการภาย ในอาคารที่ 70 เมตร และนอกอาคารที่ 160 เมตร หรือกว้างมากกว่าเดิมเท่าตัว พูดง่าย ๆ ดีกว่ารุ่นก่อน ๆ อย่างเทียบกันไม่ได้ คุณคาเรน แฮนลีย์ ผู้อำนวยการอาวุโสด้านการตลาดของกลุ่มผู้ผลิตที่มลรัฐเทกซัสได้กล่าวว่า ปีที่แล้วอุตสาหกรรมไร้สายสามารถส่งผลิตภัณฑ์ออกมาได้ 200 ล้านชิ้น ในอีก 2-3 ปี ข้างหน้า นั้น นักเล่นคอมพิวเตอร์แลปทอป จะสามารถใช้ไวไฟติดต่อกันกับโทรศัพท์ โทรทัศน์ และวิดีโอเกมได้ แต่แฮนลีย์บอกว่า 802.11n ร่างสุดท้ายจริง ๆ น่าจะออกในปี 2009 ซึ่งก็หมายความว่า คงจะต้องร่างและแก้สเปกไปอีกสักปีกว่าหรือสองปี ท่านผู้อ่านที่ใช้อินเทอร์เน็ตทั้งหลาย อย่างไรก็คงจะต้องรอ เพราะถ้ารุ่นนี้ออกมากิจการโทรศัพท์มือถือ กิจการโทรทัศน์และกิจการเกมวิดีโอจะปรับตัว อย่างไรจะได้มีเวลาคิด เพราะ 802.11n นั้นมาแน่.

Cambodian money

จาจ้า (Picpost Lv. level 7 ) โพสไปแล้ว 15024 ครั้ง
~ กลุ่มเมล์อันซีน ~ สมัครรับเมลล์ ไปที่เว็บไซท์ ' http://groups.google.com/group/unzeen ' หรือส่งเมลล์เปล่าไปที่ ' unzeen-subscribe@googlegroups.com '


จาจ้า (Picpost Lv. level 7 ) โพสไปแล้ว 15024 ครั้ง
~ กลุ่มเมล์อันซีน ~ สมัครรับเมลล์ ไปที่เว็บไซท์ ' http://groups.google.com/group/unzeen ' หรือส่งเมลล์เปล่าไปที่ ' unzeen-subscribe@googlegroups.com '

จาจ้า (Picpost Lv. level 7 ) โพสไปแล้ว 15024 ครั้ง
~ กลุ่มเมล์อันซีน ~ สมัครรับเมลล์ ไปที่เว็บไซท์ ' http://groups.google.com/group/unzeen ' หรือส่งเมลล์เปล่าไปที่ ' unzeen-subscribe@googlegroups.com '


จาจ้า (Picpost Lv. level 7 ) โพสไปแล้ว 15024 ครั้ง
~ กลุ่มเมล์อันซีน ~ สมัครรับเมลล์ ไปที่เว็บไซท์ ' http://groups.google.com/group/unzeen ' หรือส่งเมลล์เปล่าไปที่ ' unzeen-subscribe@googlegroups.com '


จาจ้า (Picpost Lv. level 7 ) โพสไปแล้ว 15024 ครั้ง
~ กลุ่มเมล์อันซีน ~ สมัครรับเมลล์ ไปที่เว็บไซท์ ' http://groups.google.com/group/unzeen ' หรือส่งเมลล์เปล่าไปที่ ' unzeen-subscribe@googlegroups.com '


จาจ้า (Picpost Lv. level 7 ) โพสไปแล้ว 15024 ครั้ง
~ กลุ่มเมล์อันซีน ~ สมัครรับเมลล์ ไปที่เว็บไซท์ ' http://groups.google.com/group/unzeen ' หรือส่งเมลล์เปล่าไปที่ ' unzeen-subscribe@googlegroups.com '


จาจ้า (Picpost Lv. level 7 ) โพสไปแล้ว 15024 ครั้ง
~ กลุ่มเมล์อันซีน ~ สมัครรับเมลล์ ไปที่เว็บไซท์ ' http://groups.google.com/group/unzeen ' หรือส่งเมลล์เปล่าไปที่ ' unzeen-subscribe@googlegroups.com '



จาจ้า (Picpost Lv. level 7 ) โพสไปแล้ว 15024 ครั้ง
~ กลุ่มเมล์อันซีน ~ สมัครรับเมลล์ ไปที่เว็บไซท์ ' http://groups.google.com/group/unzeen ' หรือส่งเมลล์เปล่าไปที่ ' unzeen-subscribe@googlegroups.com '


จาจ้า (Picpost Lv. level 7 ) โพสไปแล้ว 15024 ครั้ง
~ กลุ่มเมล์อันซีน ~ สมัครรับเมลล์ ไปที่เว็บไซท์ ' http://groups.google.com/group/unzeen ' หรือส่งเมลล์เปล่าไปที่ ' unzeen-subscribe@googlegroups.com '


Saturday, June 7, 2008

update har drive

มาอัพเกรดฮาร์ดไดรฟ์ให้แล็ปท็อปของเรากันเถอะ!

เคยพบว่าฮาร์ดไดรฟ์ของแล็ปท็อปตัวเก่าของคุณมีหน่วยความจำไม่พอกับความต้องการบ้างหรือเปล่า? หากเป็นอย่างนั้น วันนี้เรามีวิธีในการอัพเกรดฮาร์ดไดรฟ์เพิ่มหน่วยความจำให้กับแล็ปท็อปของคุณแล้ว...
ตัวอย่างเช่นหากต้องการอัพเกรดฮาร์ดไดรฟ์ขนาด 30GB ให้เพิ่มเป็น 100GB คือคุณจำเป็นต้องมีซอฟต์แวร์บางตัวที่จะทำการก็อปไดรฟ์ตัวเก่าไว้ก่อน ทำเป็นสำเนาเพื่อจะเอาใส่เข้าไปในไดรฟ์ตัวใหม่อีกทีนึง และจากนั้นก็ต้องรู้วิธีที่จะนำฮาร์ดไดรฟ์ตัวใหม่ใส่เข้าไปในแล็ปท็อป
หากมีชุดอุปกรณ์ในการอัพเกรดอย่าง EZ upgrade ที่มาพร้อมกับซอฟต์แวร์ในการโอนถ่ายข้อมูล ก็จะทำให้ขั้นตอนง่ายขึ้น มันจะทำการโอนถ่ายข้อมูลจากไดรฟ์ตัวเก่าไปยังไดรฟ์อีกตัวหลังจากทำการอัพเกรด
ก่อนทำการอัพเกรดก่อนที่เราจะเริ่มโอนถ่ายข้อมูลนั้น เราจะต้องทำความสะอาดไดรฟ์ตัวเก่าเสียก่อน โดยการลบไฟล์ที่ไม่จำเป็น และถอนการติดตั้งโปรแกรมที่ไม่ได้ใช้ทิ้งไปซะอย่าเสียดาย ซึ่งจะทำให้คุณไม่ต้องมาเสียเวลากับการโอนถ่ายข้อมูลที่ไม่จำเป็นเหล่านี้ด้วย จากนั้นก็ต้องเรียบเรียง (defragment) ข้อมูลในไดรฟ์ซะใหม่
โอนถ่ายข้อมูล
ใส่ไดรฟ์ตัวใหม่ (100GB) เข้าไปในเคส (อุปกรณ์การอัพเกรดฮาร์ดไดรฟ์) อย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะฮาร์ดไดรฟต้องระวังให้มาก อย่าให้เกิดการกระแทกหรือแรงกดใดๆทั้งสิ้น เนื่องจากภายในนั้นมีอุปกรณ์ที่ค่อนข้างจะบอบบางอาจเกิดการเสียหายได้
จากนั้นต่อสาย USB และไดรฟ์จากเคสไปยังแล็ปท็อป ใส่ซอฟต์แวร์ EZ Gig ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ในการก็อปปี้ข้อมูลจากดิสก์ และทำการบูทเครื่องจากแผ่นซีดีได้โดยตรง ในการบูทเครื่อง ให้เลือก Automatic เพื่อที่ซอฟต์แวร์จะได้เซ็ทอัพวิธีการก็อปปี้ข้อมูล มันจะขึ้นคำถามถามคุณว่าจะลงไดรฟ์ตัวใหม่หรือตัวเก่า เลือกให้ถูกต้องแล้วตอบเพื่อเริ่มการทำงาน การโอนถ่ายข้อมูลใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจำนวนข้อมูลที่ก็อปปี้
เปลี่ยนฮาร์ดไดรฟ์เมื่อโอนถ่ายข้อมูลเสร็จเรียบร้อย ให้ปิดเครื่อง ถอดปลั๊กและแบตเตอรี่ออกเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการทำงานของระบบไฟฟ้าอยู่ จากนั้นก็เปิดหนังสือคู่มือเพื่อหาวิธีการเอาฮาร์ดไดรฟ์ตัวเก่าออกจากแล็ปท็อป เมื่อพบแล้วให้ทำตามขั้นตอนด้วยความระมัดระวัง
เมื่อเอาฮาร์ดไดรฟ์ตัวเก่าออกจากแล็ปท็อปแล้วให้ดูว่ามีฐานรองฮาร์ดไดรฟ์ตัวเก่าอยู่หรือไม่ ถ้ามีให้เปลี่ยนเอาตัวใหม่ใส่เข้าไปแทน
จากนั้นให้นำฮาร์ดไดรฟ์ตัวใหม่ออกจากเคสแล้วนำมาใส่แล็ปท็อป ใส่แบตเตอรี่เข้าไปอีกครั้ง และรีสตาร์ทเครื่อง หากแล็ปท็อปไม่ทำงาน ให้ใส่ไดรฟ์ตัวเก่ากลับเข้าไปอีกทีนึง และตรวจสอบไดรฟ์ตัวใหม่ให้ดี
หากแก้ไขเรียบร้อยแล้ว แล็ปท็อปของคุณจะมีหน่วยความจำเพิ่มเป็นสองหรือสามเท่าของฮาร์ดไดรฟ์ตัวเก่า
ภาพเคสที่ใช้ในการแบ็คอัพไดรฟ์

เซ็นเซอร์ประสิทธิภาพเยี่ยมตัวใหม่จากพานาโซนิค

เซ็นเซอร์ประสิทธิภาพเยี่ยมตัวใหม่จากพานาโซนิค

พานาโซนิคกล่าวว่าได้พัฒนาตัวเซ็นเซอร์ชนิด MOS ที่สามารถถ่ายรูปกลางแดดจ้าได้มากว่า 20 ปีแล้ว ส่วนสำคัญในการเปิดตัวสิ้นค้านี้คือ การพัฒนาไมโครเลนส์ตัวใหม่ที่ฟอร์มขึ้นโดย concentric rings และ color filters ผลิตมาจากวัตถุดิบธรรมชาติ ด้วยเทคโนโลยีดังกล่าวช่วยให้กล้องทำงานได้รวดเร็วและเงียบด้วย
พานาโซนิค แบรนด์ชั้นนำจากบริษัท Matsushita Electric Industrial ได้เปิดตัวเซ็นเซอร์ภาพที่มีความเร็วแสงประสิทธิภาพเยี่ยม เซ็นเซอร์ภาพ MOS มีดิจิตอลไมโครเลนส์และโฟโตนิคคัลเลอร์ฟิลเตอร์ ทั้งสองชนิดนี้ทำมาจากวัสดุธรรมชาติซึ่งให้การทำงานที่มีประสิทธิภาพดีทีเดียว
"เราได้นำเสนอแอพพลิเคชั่นใหม่ที่มาพร้อมกับเซ็นเซอร์ตัวใหม่ให้กับลูกค้า และเจาะกลุ่มตลาดได้ในวงกว้างด้วยสินค้าที่มีประสิทธิภาพ" Taku Gobara กรรมการบริหารฝ่าย Corporate Application Specific Standard Products Division กล่าว
จากการทดลอง ได้มีการนำ ไมโครเลนส์ที่ทำมาจากโพลิเมอร์และสารย้อมสีอาร์จีบีคัลเลอร์ฟิลเตอร์ที่บอบบางและไวต่อแสงมาใช้กับเซ็นเซอร์ MOS ผลปรากฏว่า สีของภาพที่ถ่ายโดนแสงโดยตรงจะมีส่วนของรังสีอุลตร้าไวโอเลท หรือรังสียูวี และอยู่ในอุณหภูมิที่สูงกว่าจะทำให้สีของภาพซีดจางได้ไวกว่าด้วย
แต่โฟโตนิตคัลเลอร์ฟิลเตอร์ที่ทำมาจากวัตถุดิบธรรมชาติจะช่วยตัดสีที่มาจากรังสียูวีออก ทำให้ถ่ายภาพในที่มีแสงมากได้ดี ภาพออกมาสีไม่ซีดจางได้ง่ายเหมือนกับพวกโพลิเมอร์ :A34:

Monday, June 2, 2008

Japanese ghost detail

ตำนานผีญี่ปู่น

ในปี ค.ศ. 1780 นักปราชญ์และศิลปินนาม โทะริยะมะ เซคิเอ็น ได้ทำการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับ ภูตผีปีศาจ ของญี่ปุ่น ทั้งที่สิงสถิตอยู่ตามที่ต่างๆ ตลอดจนที่อยู่บนสวรรค์ และ ในนรก เขาพยายามแบ่งแยก ผี ออกเป็นชนิดต่างๆ ตามลักษณะที่มันปรากฏร่างให้เห็น ซึ่งนับเป็นเรื่องยุ่งยากเอาการทีเดียว เนื่องจากผี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โอะบะเกะ สามารถปรากฏให้เห็นได้สารพัดรูปแบบ นอกจากโอะบะเกะแล้ว โทะริยะมะ ยังได้รวมเอาบรรดา ผี ปีศาจ ปอบ เปรต และ อสุรกาย มาไว้เป็นพวกเดียวกัน เรียกว่า โยวไค นอกจากนั้นแล้วก็เป็นผีประเภท วิญญาณของคนตาย ซึ่งมีชื่อเรียกว่า ยูเร


ผีญี่ปุ่นแต่โบราณมานั้นมีอยู่ 3 ประเภท คือ



(1) โอบะเกะ Obage [ お化け] = โอบะเกะนั้นแปลตรงๆ ตามความหมายของมันก็คือผี ปกติจะอยู่ในรูปของกลุ่มไอหมอกประหลาดสีดำที่ล่องลองไปตามท้องถนนยามค่ำคืน ซึ่งเมื่อโอบะเกะนั้นเข้าสิงสิ่งใดไม่ว่าคน สัตว์ สิ่งของ สิ่งเหล่านั้นก็จะกลายร่างเป็นผีไปทันใด เช่น ถ้ามันเข้าสิงร่มเก่าๆ ที่มีอายุกว่า 100 ปีแล้ว ร่มนั้นก็จะถูกกลุ่มไอปิศาจอาบมันจนกลายเป็นดวงตาใหญ่โตแสยะยิ้ม หรือที่คนโบราณเรียกว่าผีร่ม ส่วนเวลาปรากฏตัวของโอบะเกะนั้นส่วนมากจะเป็นตอนกลางคืน มันจะล่องลอยไปในท้องถนนยามค่ำคืนและพยายามหาร่างสิงสู่ของมัน วันดีคืนดีชาวบ้านมักจะพบเกวียนเก่าที่ไม่มีคนขับวิ่งไปตามท้องถนนนั้นก็คือที่สิ่งสู่ของวิญญาณร้ายเหล่านี่...



(2) โยวไค youkai [ 妖怪 ] = โยวไค นี้เป็นศัพท์ที่ใช้เรียกเหล่าบรรดาภูติ ผี ปิศาจ ปอบ เปรต และอสุรกายที่มีมาแต่ช้านาน ซึ่งแหล่งที่อยู่เดิมของเหล่าผีพวกนี้คือขุมนรกบ้าง สวรรค์บ้าง บนโลกมนุษย์บ้าง เวลาปรากฏตัวของเหล่าโยวไกนั้นจะเริ่มตั้งแต่ยามโพล้เพล้เป็นต้นไป เช่น ช่วงที่ใกล้ค่ำแล้วท้องฟ้าจะเป็นสีแดง ชาวบ้านมักจะพูดเสมอว่าเวลานี้เป็นเวลาผีออกหากิน และมีธรรมเนียมจะไม่เดินทางไกลในช่วงนี้ เหล่าโยวไคนี้มีมากมายหลายชนิด มีบันทึกเรื่องราวพิศดารนี้อยู่ตามบันทึกญี่ปุ่น เหล่าโยวไคนั้นมีมากหลาย มีทั้งแบบน่าตลกขบขันไปจนถึงน่ากลัวจนขนหัวลุก...




(3) ยูเร yurea [ 幽霊 ] = ยูเร นี้เป็นวิญญาณคนที่ตายไปโดยไม่ทันได้ดับจิต หรือที่เรียกกันว่า ผีตายโหง ด้วยจิตคิดพยาบาทดั่งไฟสุมของดวงวิญญาณเหล่านี้ ทำให้ไม่สามารถไปผุดไปเกิดได้ มีตำนานวิญญาณของหญิงสาวที่โผล่ขึ้นมาจากบ่อน้ำเก่าเล่าขานมากมาย สร้างความหวาดผวาไปทั่ว ยูเรนั้นมีอยู่ทั่วทุกแห่งไม่ว่าจะตามสนามรบเก่า ซึ่งยูเราเหล่านั้นจะเป็นชายชาตินักรบที่ตายอย่างสมศักดิ์ศรี วันดีคืนดีชาวบ้านที่เดินทางผ่านสนามรบเก่าก็จะพบเห็นเหล่ากองทัพผีซามูไรพุ่งรบกันอย่างไม่รู้แพ้รู้ชนะ ตามท้องถนนทั่วไปจะเป็น ยูเร ที่ตายในอุบัติเหตุทำนองเดียวกับผีตายโหง และเหล่าสัมภเวสีต่างที่ล่องลอยไปตามที่ต่างๆ รอวันผุดเกิด เวลาเหมาะสมที่ ยูเร จะปรากฏตัวนั้นคือหลังเที่ยงคืนแต่ ยูเร บางตนก็สามารถปรากฏตัวลางๆได้ในเวลากลางวัน และยูเรส่วนใหญ่นั้นจะเป็นเพศหญิง เพราะผู้หญิงนั้นมีความอาฆาตพยาบาทที่น่ากลัวจริงๆ...
เครดิตPageviews.
การาสุเทนกุ天狗 • てんぐ

มักจะลงโทษคนชั่ว และผู้นำทรราชย์ สามารถเรียกพายุได้ เป็นสมุนของไดเทนกุ

การาสุเทนกุ หรือ นกสามขา (「天狗」 Tengu?) ความเชื่อเรื่องนกสามขาที่มีอยู่ทั้งในแถบญี่ปุ่นและเกาหลี โดยทางญี่ปุ่นเชื่อว่าการาสุเทนกุ มีภาพลักษณ์ของปีศาจร้าย และมักจะสร้างพายุเข้าโจมตีผู้คนเสมอๆ ซึ่งประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ ถูกพายุถล่มบ่อยครั้ง การาสุเทนกุเป็นข้ารับใช้ของไดเทนกุ ซึ่งมักปรากฎภาพของไดเทนกุ ที่ล้อมรอบไปด้วยการาสุเทนกุ บางความเชื่อนั้นเชื่อว่าการาสุเทนกุไม่ได้เป็นผีร้าย ทั้งยังเป็นปีศาจที่รักสงบและสุภาพ แต่การกระทำร้ายๆนั้น เป็นเพราะการาสุเทนกุต้องทำตามคำสั่ง ของไดเทนกุ

ตามความเชื่อแล้ว การาสุเทนกุมีแต่เพศผู้ จะอาศัยอยู่ในป่าลึก เป็นผีที่คาดเดาไม่ได้ ตามเรื่องเล่ามักจะพฤติกรรมที่คาดเดาได้ยาก บางครั้งมันจะลักพาตัวเด็กๆ ไปทิ้งไว้ในป่า แล้วเฝ้ามองเด็กที่หลงทางอยู่ในป่า แต่บางเรื่องเล่าผู้คนก็บอกว่าเมื่อใดที่หลงป่า ให้ขอร้องให้การาสุเทนกุช่วยแล้วมันจะนำทางออกจากป่าให้ได้ การาสุเทนกุยังชอบปล่อยข่าวลือ สร้างความวุ่นวายให้มนุษย์ แต่บางคนกลับเชื่อว่าการาสุเทนกุชอบสงคราม อีกทั้งมันยังเชื่อว่ามนุษย์ไม่ควรมีอำนาจมากเกินไป เหตุการณ์การประท้วงหรือสงครามในสมัยก่อน จึงมักโทษว่าเป็นฝีมือของการาสุเทนกุที่ปล่อยข่าวลือ

การาสุเทนกุสามารถเรียกพายุได้ เชี่ยวชาญมนต์มายา และวิชาแปลงกาย มีพละกำลังมากทั้งยังเจนจัดการรบ เป็นสมุนที่พึ่งพาได้ของไดเทนกุ ซึ่งเป็นเทนกุที่มีลำดับชั้นสูงกว่า ลักษณะของการาสุเทนกุคล้ายกับมนุษย์นก ซึ่งมักไปไหนมาไหนด้วยการบิน แต่ว่าไดเทนกุจะใช้วิธีเคลื่อนย้ายในพริบตา มากกว่าการบินถ้าเป็นระยะทางสั้นๆ

การาสุเทนกุชื่นชมผู้กล้าที่กล้าต่อกรกับผู้นำทรราชย์ การาสุเทนกุจะช่วยเหลือเหล่าผู้กล้า ให้สามารถสู้เพื่อความยุติธรรมได้ จึงมีคนเชื่อว่าการที่ชื่อเสียงของการาสุเทนกุเสียหาย เป็นเพราะเหล่าผู้นำทรราชย์ที่สูญเสียอำนาจใส่ความการาสุเทนกุ ดังนั้นแม้ว่าในยุคปัจจุบันมนุษย์จึงมีความยำเกรงการาสุเทนกุ บางครั้งถึงกับเรียกว่าเป็น เทพพยาบาท เมื่อใดที่มนุษย์ล่มหลงในอำนาจ หรือผิดคำสาบาน การาสุเทนกุจะออกมาจากเขาแล้วทำลายผู้นั้นให้สิ้น

มีเรื่องเล่าหนึ่งเล่าว่า มีหญิงสาวคนหนึ่งที่สายตาย่ำแย่มาก เล็งอะไรไม่เคยแม่นยำเลย แต่ถูกการาสุเทนกุเข้าสิง และในฝันการาสุเทนกุได้สอนวิชาดาบให้กับเด็กผู้หญิงคนนั้น จนเธอกลายเป็นนักดาบที่ร้ายกาจและมีชื่อเสียง บางข่าวลือก็เล่าว่า เหล่าชิโนบิหรือนินจา คือเหล่าผู้ที่ได้รับการฝึกฝนวิชาจากการาสุเทนกุ

เรื่องเล่าที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับการาสุเทนกุ คือ เรื่องราวของ มินาโมโตะ โนะ โยชิซึเนะ (Minamoto no Yoshitsune) ซึ่งเดิมชื่อว่าอุชิวากะมารุ เป็นลูกชายของ โยริโทโมะซึ่งเป็นเจ้าเมืองที่ถูกลอบสังหาร แต่อุชิวากะมารุได้รับการไว้ชีวิต อุชิวากะมารุจึงออกบวช และเร้นกายอยู่ในวัดแถบหุบเขาคุรามะ มีอยู่วันหนึ่ง อุชิวากะมารุได้ไปพบกับการาสุเทนกุเข้า การาสุเทนกุรู้สึกถูกชะตากับอุชิวากะมารุ จึงสอนเพลงดาบให้ จนอุชิวากะมารุเป็นนักดาบที่เก่งกาจ และสามารถรวบรวมกองกำลัง ชิงอำนาจกลับคืนมาได้เป็นผลสำเร็จ และได้เป็น มินาโมโตะ โน โยชิซึเนะ

ในภาพยนต์เรื่อง จูมง นกสามขาเป็นสัญลักษณ์ของจูมง และเนื่องจากว่านกสามขากับการาสุเทนกุมีลักษณะที่คล้ายกัน ซึ่งภาพลักษณ์ของการาสุเทนกุไม่ค่อยดีนัก ทำให้ธิดาเทพยองมีอึนที่มองเห็นการมาของนกสามขาทำนายผิดพลาดไป คิดว่าจูมงจะเป็นกาลกีณีกับแคว้นพูยอ ต้องหาทางกำจัดเสีย ซึ่งธิดาเทพลืมไปว่าการาสุเทนกุยังมีนิสัยชอบช่วยเหลือผู้กล้า ที่ลุกขึ้นต่อสู้กับผู้นำทรราชย์ ภายหลังธิดาเทพยองมีอึน จึงนับถือการาสุเทนกุเป็นเทพคุ้มครอง

นกสามขาที่มีลักษณะคล้ายกับการาสุเทนกุก็คืออีกาสามขา ยาตะการาสุ (八咫烏) ซึ่งเป็นนกประจำตัวของเทพีสุริยาอามาเทระสุและเป็นสัญลักษณ์ของสมาคมฟุตบอลญี่ปุ่นในปัจจุบัน

กัปปะ河童 • かっぱมักจะแกล้งคนเป็นประจำ ชอบแข่งซูโม่ และชอบแตงกวามาก

กัปปะ (「河童」 Kappa?) ผีญี่ปุ่นชนิดหนึ่ง เป็นผีจำพวกพรายน้ำ มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกบ ตัวสีเขียว แต่มีกระดองเต่าอยู่ข้างหลัง เท้ามีพังผืดทั้งเท้าหน้าและเท้าหลัง จมูกแหลม มีลักษณะศีรษะที่แบนและกลางกระหม่อมไม่มีผม เป็นปีศาจที่อาศัยอยู่ตามหนองน้ำหรือแหล่งน้ำต่าง ๆ เชื่อว่า อาหารที่กัปปะชอบคือ แตงกวา ชอบเล่นซูโม่เพราะมีพละกำลังเยอะ ลักษณะพิเศษคือ มีจานอยู่บนหัวไว้เก็บน้ำ ซึ่งน้ำจะทำให้กัปปะมีพลังพิเศษ และมีพละกำลังมากขึ้น ในทางกลับกันถ้าสูญเสียน้ำไป กัปปะจะอ่อนแรงลงอย่างมาก ถึงขนาดที่ไม่สามารถขยับตัวได้ ถึงแม้ว่ากัปปะจะมีรูปร่างพอๆกับเด็ก แต่ก็เป็นผีที่เอาชนะได้ยาก มันมีปากแหลมเหมือนนก ผิวเป็นเมือกลื่น อาจมีสีเขียว น้ำเงิน หรือแดง มือเป็นผังผืด ที่หลังจะมีกระดองเต่า มีขนดกทั่วตัว แขนขาของกัปปะยาว และยืดหยุ่นได้ เมื่อกัปปะขึ้นจากน้ำจะหมดฤทธิ์ จึงใส่น้ำไว้บนศีรษะที่แบนราบของตัวเอง ดังนั้นเมื่อพบเจอกับกัปปะให้ก้มคาราวะ เมื่อกัปปะคาราวะตอบ น้ำบนศีรษะจะหก ทำให้หมดฤทธิ์ และ อีกวิธี ก็คือ ให้เขียนชื่อตัวเอง ลงไปในแตงกวา แล้วขว้างลงไปในแม่น้ำ เมื่อ กัปปะ มาเจอแตงกวานี้เข้าก็จะกินอย่างเอร็ดอร่อย และ ก็จดจำชื่อ ที่อยู่บนแตงกวาด้วย คราวหน้าบังเอิญต้องเจอะเจอเจ้าของชื่อ กัปปะ ก็จะไม่ทำอันตรายอะไร ปัจจุบันมีซูชิชนิดหนึ่ง ไส้แตงกวา เรียกว่า "กัปปะ มากิ"

กัปปะมีความมั่นใจในพละกำลังตัวเองมาก มักจะท้ามนุษย์ในการแข่งซูโม่ จึงมีเรื่องเล่าว่า คนที่ฉลาดจะทำความเคารพกัปปะก่อนเริ่มการประลอง ด้วยการก้มศรีษะ แล้วกัปปะจะก้มตาม ทำให้น้ำกระฉอกออกจากจาน กัปปะจะอ่อนแรงลง และพ่ายแพ้ในที่สุด ซึ่งจะทำให้กัปปะเสียใจอย่างมาก นิสัยของกัปปะ คือ ชอบกินแตงกวา ในฤดูเก็บเกี่ยวแตงกวาของเกษตรกร ที่ญี่ปุ่นจึงมีธรรมเนียมการลอยแตงกวาลงแม่น้ำ เพื่อเซ่นวารีเทพ และทำทานให้ผีอดโซ เป็นที่มาของเรื่องเล่าที่ว่า หากชายใดแก้ผ้าลงเล่นน้ำในแม่น้ำ อาจถูกกัปปะดึงของลับ เพราะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นแตงกวาที่เอามาเซ่น กัปปะมีนิสัยที่ขี้เล่นและอยากรู้อยากเห็น ซึ่งบางครั้งก็เป็นอันตรายกับมนุษย์

กัปปะมีความอันตรายเช่นเดียวกับผีร้ายอื่นๆ มีเรื่องเล่าอยู่เสมอๆ ว่ากัปปะเคยหลอกล่อให้คนลงไปในน้ำ มักจะลากม้า หรือเด็กๆลงแม่น้ำจนจมน้ำตาย หากถูกชาวประมงจับได้ มันจะปล่อยตดออกมาป้องกันตัว ซึ่งเหม็นบรรลัย ทั้งยังมีเรื่องเล่าที่ว่า กัปปะจะคอยแอบอยู่แถวๆ ส้วม เมื่อคนเผลอมันจะแกล้งโดยใช้นิ้วสวนทวาร ซึ่งพฤติกรรมพิเรนนี้ อาจทำให้มันถูกคนจับตัวได้ แต่กัปปะมีความสุภาพอ่อนน้อมและมีสัมมาคาราวะมาก กัปปะเป็นพรายที่มีความคิดความรู้สึกผิด มันจะขอโทษโดยการจับปลามาให้ที่หน้าประตูบ้านทุกวัน หรือไม่ก็มอบยาสมุนไพรชั้นเลิศที่มันปรุงขึ้นมาให้ ซึ่งกัปปะมีความเชี่ยวชาญด้านการปรุงยาลี้ลับอย่างมาก

ความเชื่อเรื่อง กัปปะ มีกระจายไปทั่วประเทศญี่ปุ่น มีตำนานเล่าว่ามีช่างไม้ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ชื่อ ฮิดาริจินโกโร่ อ้างว่าตุ๊กตาไม้ที่เขาทำโยนลงน้ำ กลายเป็นกัปปะไป อีกตำนานก็เล่าว่า เดิมกัปปะเป็นเทพที่ดูแลแม่น้ำลำคลอง แต่เมื่อมนุษย์เลิกนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ กัปปะเลยตกชั้นเป็นเพียงภูติผีธรรมดา

อาจเป็นไปได้ว่า สิ่งที่มีบุคคลเห็นปีศาจชนิดนี้ คือ สัตว์บางประเภทเช่น นาก หรือ ลิง มาก้มดื่มน้ำในเวลากลางคืนก็ได้ ปัจจุบัน เรื่องราวของกัปปะถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ ละคร หรือการ์ตูนต่าง ๆ มากมาย เช่น ตัวละคร ซูเนโอะ ในเรื่องโดราเอมอน ก็นำมาจากกัปปะนั่นเอง โดยมากแล้ว กัปปะ ที่ปรากฏตามสื่อต่าง ๆ นั้น มักจะไม่มีภาพของความน่ากลัวหรือเป็นอันตราย ซึ่งต่างไปจากความเชื่อดั้งเดิม

คาไมทาจิ鎌鼬 • かまいたちจะเล่นงานนักเดินทาง โดยการชนให้ล้ม ฟันให้เป็นแผล แล้วทายาให้ไม่รู้สึกเจ็บ

คาไมทาจิ (「鎌鼬」 Kama-itachi?) เป็นภูตลมในตำนานความเชื่อญี่ปุ่น ชื่อของคาไมทาจินั้น คามะ แปลว่า เคียว,อิทาจิ แปลว่า ตัววีเซิล เนื่องจากว่าคาไมทาจิเป็นภูตลม จึงเคลื่อนไหวได้รวดเร็วเหมือนสายลม เรื่องเล่าเกี่ยวกับคาไมทาจิมีอยู่ว่าผู้คนที่ขึ้นไปบนภูเขา บางครั้งจะพบกับลมหมุน เมื่อลมหมุนผ่านไป เขาก็พบว่าตัวเองมีบาดแผลแต่ไม่รู้สึกเจ็บ คาไมทาจิอาศัยอยู่ในลมหมุน มีอยู่ด้วยกัน 3 ตัว มีพฤติกรรมคือ ตัวแรกจะชนเหยื่อให้ล้ม ตัวที่สองจะฟันเหยื่อให้เป็นแผล ส่วนตัวที่สุดท้ายจะทายาให้เพื่อห้ามเลือดและระงับอาการเจ็บปวด แต่การจู่โจมบางครั้งก็สร้างบาดแผลร้ายแรง และเจ็บปวดกว่าที่คิด ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าทำไมคาไมทาจิจึงมีพฤติกรรมเช่นนั้น

คาไมทาจิจัดว่าเป็นอันตรายกับมนุษย์ เพราะมีบางเรื่องเล่ากล่าวว่า ผู้ที่พบปรากฏการณ์คาไมทาจิ บางครั้งไม่ได้ถูกฟันครั้งเดียว แต่จะถูกฟันแล้วทายา แล้วถูกฟันซ้ำๆอีก ซึ่งนับว่าน่ากลัว เพราะว่าคาไมทาจิมีนิสัยชอบต่อสู้อยู่เหมือนกัน

ซาชิกิวาราชิ座敷童子 • ざしきわらしเทพอารักษ์ที่เป็นเด็ก ส่วนมากเป็นผู้หญิง ถ้าอยู่บ้านใครจะนำความมั่งคั่งมหาศาลมาให้ แต่ถ้าจากไปความมั่งคั่งที่นำมาจะมลายหายไปจนสิ้น

ซาซิกิวาราชิ (「座敷童子」 Zashiki-warashi?) ตามความเชื่อส่วนมากมักจะอยู่ในรูปเป็นเด็กผู้หญิงที่อายุน้อยๆ ราวๆ 5-14 ปี อาศัยอยู่ตามห้องของบ้านที่เก่าๆ และตามอาคารต่างๆ บางครั้งจะวิ่งเล่นจนผู้อาศัยได้ยินเสียง บางครั้งจะออกมาเล่นกับเด็กๆ ซึ่งผู้ใหญ่จะมองไม่เห็น ซาชิกิวาราชิยังช่วยปกป้องเจ้าของบ้านจากภยันตรายต่างๆ รวมไปถึงสิ่งอัปมงคลที่จะมาย่างกรายเข้ามา ภายในบ้านที่ซาชิกิวาราชิอาศัยอยู่

เนื่องจากซาชิกิวาราชิจัดว่าเป็นผีประเภทหนึ่ง และมีพลังที่น่ากลัวของเทพอารักษ์ซึ่งมีทั้งคุณและโทษ มีเรื่องเล่าว่า หากซาชิกิวาราชิไปอาศัยอยู่ที่บ้านของใคร จะนำโชคลาภมหาศาล และความมั่งคั่งมาสู่บ้านหลังนั้น แต่เมื่อใดซาชิกิวาราชิจากบ้านนั้นไป ทรัพย์สมบัติและความเจริญรุ่งเรืองที่ซาชิกิวาราชินำมา จะมลายหายไปจนสิ้น และความพินาศจะมาเยือน

การที่ซาชิกิวาราชิจะเลือกอาศัยบ้านหลังไหนนั้น ไม่ทราบแน่ชัด แต่จะชอบเลือกบ้านที่ค่อนข้างเก่ามากกว่า สำหรับบ้านสมัยใหม่ซาชิกิวาราชิอาจจะเลือกเข้าอยู่บ้าง แต่ต้องไม่มีสำนักงานในตัวบ้าน เพราะซาชิกิวาราชิไม่ชอบกิจวัตรประจำวันที่อึกทึก ผู้คนพยายามที่จะสร้างห้องไว้ให้สำหรับซาชิกิวาราชิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามโรงแรมและสำนักงาน โดยจะเป็นห้องที่เต็มไปด้วยตุ๊กตาและของเล่น แต่ความพยายามดังกล่าวมักสูญเปล่า

การจะให้ซาชิกิวาราชิอยู่กับบ้านใดบ้านหนึ่งนานๆ ต้องการการดูแลที่เหมาะสม ซาชิกิวาราชิไม่ชอบการเอาใจที่มากเกินไป เพราะว่าซาชิกิวาราชิมีนิสัยเหมือนเด็ก บางครั้งก็สร้างปัญหาให้ได้เหมือนกัน การพูดคุยอย่างสุภาพเป็นวิธีที่ดีกว่าการแสดงอารมณ์โกรธ เพราะความโกรธจะขับไล่ซาชิกิวาราชิไปเหมือนกัน

ทานูกิ狸 • たぬきมันมักจะเสกใบไม้ให้กลายเป็นเงิน เพื่อหลอกตาคนเสมอๆ เนื่องจากว่าของที่ทานูกิโปรดปรานก็คือ เหล้าสาเก ทั้งยังชอบเรื่องตลกขำขัน และธรรมชาติที่สงบ ทานูกิเชี่ยวชาญการแปลงกายเป็นสิ่งของมาก แต่กลับอ่อนเชิงเมื่อมันพยายามแปลงกายเป็นมนุษย์ เพราะจะเหลือหลักฐานมากมายให้จับได้

ทานูกิ เป็นสัตว์ที่ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่า เป็นปีศาจที่สามารถแปลงร่างได้ โดยใช้ใบไม้แปะไว้ที่หน้าผาก โดยความเชื่อนี้ปรากฏให้เห็นบ่อย ๆ ตามสื่อต่าง ๆ เช่น การ์ตูน เป็นต้น โดยเชื่อว่าเป็นสัตว์ที่ชอบดื่มเหล้าสาเก แต่จะไม่ซื้อเหล้าสาเกให้เปลืองเงินแต่จะใช้วิธีการแปลงร่างหลอกเอาเหล้ามาดื่ม รักสนุก และจะชอบหลอกมนุษย์ด้วยการแปลงลูกอัณฑะให้มีขนาดใหญ่ด้วย

นุราริเฮียวน์ぬらりひょんนุราริเฮียวน์ หรือเทพอาคันตุกะ ไม่เป็นอันตรายกับมนุษย์ มักปรากฏตัวในรูปชายชราหัวโตๆ หน้าตาอิ่มเอิบ มีพลังในการสะกดจิตผู้คน ทำให้ผู้คนเข้าใจผิดว่าเป็นเจ้าของบ้าน หรือเจ้านายใหญ่ โดยมีเรื่องเล่าว่าเทพอาคันตุกะมักจะเข้าบ้านคนอื่น โดยไม่เกรงใจ และดื่มกินตามที่ตัวเองต้องการ บางครั้งผู้คนก็เข้าใจว่าเป็นปีศาจนักต้มตุ๋น ทว่าตามบ้านเก่าๆ มักมีศาลเจ้าที่เตรียมเครื่องเซ่นไว้ ซึ่งเป็นการจัดเตรียมไว้เพื่อต้อนรับเทพอาคันตุกะ ที่อาจจะมาแวะเยี่ยมเยียนตามบ้าน

เนโกะมาตะ猫又 •猫叉 • 猫股 • ねこまたเป็นแมวที่มีหางแยกตั้งแต่ 2 หางขึ้นไป สามารถควบคุมคนตายได้

เนโกะมาตะ (「猫又」 Nekomata?) หรือ แมวผี มีเรื่องเล่ามาว่า เมื่อแมวบางตัวมัอายุมากจะมีตะบะสูงขึ้น แล้วกลายเป็นแมวผี ที่เรียกว่าบากะเนโกะ ซึ่งมีหลายวิธีที่มันจะสามารถกลายเป็นบากะเนโกะได้ และเมื่อหางมันแยกออกเป็น 2 หาง มันถึงจะพัฒนากลายเป็นเนโกะมาตะ ซึ่งเนโกะมาตะสามารถขยายตัวได้ถึง 1 เมตร และส่วนมากจะเดินด้วยขาหลัง 2 ขา และมันเป็นผีที่ไม่ยอมให้ใครมาดูถูก ถ้าใครปฏิบัติกับมันไม่ดี มันจะจดจำอย่างฝังใจ เชื่อกันว่าการเต้นรำของเนโกะมาตะสามาถควบคุมคนตายได้ และยังเชื่ออีกว่าเนโกะมาตะเป็นสาเหตุของเพลิงไหม้ที่ผิดปกติ จึงมีความเชื่อบางอย่างที่จะตัดหางแมวออกซะ เพื่อป้องกันไม่ให้มันกลายเป็นเนโกะมาตะ

เรื่องเล่าของเนโกะมาตะ แตกต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่ บ้างก็เชื่อว่าเนโกะมาตะจะกิน แม้กระทั่งเจ้านายของตัวเอง และการที่ทิ้งแมวไว้กับศพเป็นเรื่องที่เสี่ยงมาก เพราะมันอาจจะปลุกศพให้คืนชีพ และควบคุมศพได้ ในขณะที่บางตำนานกล่าวว่าเนโกะมาตะจะแปลงร่างเป็นสาวงามในยามค่ำคืนเพื่อปรนนิบัติเจ้านาย

ปีศาจจิ้งจอก狐 • きつねมักแปลงกายเป็นมนุษย์ และแฝงกายอยู่กับคนทั่วไป โดยไม่ทราบจุดประสงค์ที่แน่ชัด

ปีศาจจิ้งจอก หรือ คิตสึเนะ (「狐」 Kitsune?) สามารถพบได้ตามแถบตะวันออกของเอเชีย ตามความเชื่อแล้วปีศาจจิ้งจอก เป็นจิ้งจอกที่มีพลังเวทย์ มีทั้งพวกที่จัดว่าศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นข้ารับใช้ของเทพอินาริ ซึ่งเป็นเทพแห่งการเพาะปลูก และพวกที่จัดว่าเป็นผีร้าย ปีศาจจิ้งจอกมีความเชี่ยวชาญในมนต์มายา และวิชาแปลงกาย ซึ่งบ่อยครั้งที่มักจะแปลงกายเป็นมนุษย์ เชื่อกันว่าสุนัขจิ้งจอกที่อายุยืน และมีตบะแก่กล้ามากพอ จะสามารถกลายเป็นปีศาจจิ้งจอกได้ เมื่อปีศาจจิ้งจอกอยู่จนครบ 100 ปี จะมีหางเพิ่มขึ้นมาหนึ่งหาง และมีพลังแข็งแกร่งขึ้น และหากมีหางครบเก้าหางเมื่อไหร่ จะมีพลังมหาศาลและชาญฉลาดอย่างยิ่ง

ปีศาจจิ้งจอกมีสังคมคล้ายคลึงกับมนุษย์ ทั้งยังสวมใส่เสื้อผ้าและยืนสองขา บางครั้งก็เข้ามาปะปนอยู่กับ มนุษย์ธรรมดา ปีศาจจิ้งจอกสามารถแปลงกายได้แนบเนียน จนมนุษย์ธรรมดาจับไม่ได้ ปีศาจจิ้งจอกตนใดถูกมนุษย์จับได้ จะถูกลงโทษอย่างหนักจากสังคมปีศาจจิ้งจอก การที่ปีศาจจิ้งจอกจะสำเร็จ วิชาแปลงกาย สามารทำได้หลายวิธี ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ การใช้กะโหลกมนุษย์ช่วยใน การแปลงกาย แต่ปีศาจจิ้งจอกที่ไม่ระมัดระวังอาจจะเหลือหลักฐานบางอย่าง อย่างเช่น ลืมแปลงกายอวัยวะบางส่วนที่อยู่ใต้เสื้อผ้า

เมื่อปีศาจจิ้งจอกแปลงร่างเป็นมนุษย์ มันก็มีความรู้สึกหรือความต้องการคล้ายมนุษย์เช่นกัน ปีศาจจิ้งจอกชอบกินของอร่อยๆ โปรดปรานเต้าหู้ทอด ชอบการได้สัมผัสกาย รวมไปถึงเรื่องเซ็กส์ เป็นหนึ่งในปีศาจที่มีเรื่องเล่าถึง สายสัมพันธุ์ที่ลึกซึ้งกับมนุษย์ การที่ปีศาจจิ้งจอกต้องแปลงกายมาปะปนกับมนุษย์ ไม่มีเหตุผลที่แน่นอน บางครั้งเชื่อว่า มันมาเพื่อค้นหาความรัก มีเรื่องเล่าว่า มีปีศาจจิ้งจอกที่แปลงกายเป็นสตรีที่งดงาม และแต่งงานอยู่กินกับมนุษย์ ทั้งยังสามารถสืบทายาทได้ด้วย ทายาทปีศาจจิ้งจอกจะมีความแข็งแกร่งผิดมนุษย์ รวมไปถึงมีพลังเวทย์ติดตัว และมีเสน่ห์ที่ประหลาด จนมีคำเล่าลือว่า องเมียวที่มีชื่อเสียงที่ชื่อ อาเบะโนเซย์เมย์ (Abe no Seimei) เป็นทายาทของปีศาจจิ้งจอก

มนต์มายาของปีศาจจิ้งจอกลึกล้ำมาก ถึงแม้ว่ามนุษย์จะรู้ว่าต้องมนต์ของปีศาจจิ้งจอก แต่สัมผัสของมนต์มายาก็เหมือนจริง จนแทบแยกความจริงกับภาพมายาไม่ออก ปีศาจจิ้งจอกที่มีตบะมากจะรู้จิตใจของมนุษย์ ทำให้สามารถสร้างภาพมายาที่มนุษย์คนนั้นต้องการเห็นได้ ทำให้แม้มนุษย์อยากปฎิเสธ ก็ยากที่จะทำได้

ยูกิอนนะ雪女 • ゆきおんなมักจะเล่นงานนักเดินทางโชคร้าย ที่ติดพายุหิมะ

สตรีหิมะ หรือ ยูกิอนนะ (「雪女」 yuki onna – นางหิมะ?) ตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่น เป็นชื่อที่ใช้เรียกภูตหิมะที่มีรูปร่างเป็นสตรีที่งดงาม ว่ากันว่าเป็นจิตวิญญาณแห่งฤดูหนาว ซึ่งยูกิอนนะนี้ จะมีลักษณะเป็นผู้หญิงสาวสวย สวมชุดกิโมโนสีขาวสะอาด นางจะปรากฏตัวบนภูเขาหิมะในวันที่มีพายุหิมะ และหลอกล่อให้ผู้ชายที่หลงไหลในความงามของนางไปสู่ความตาย เรื่องเล่าของสตรีหิมะมีหลากหลายอยู่ว่า บางครั้งเล่ากันว่าในวันที่หิมะตกหนัก นักเดินทางที่โชคไม่ดี จะได้พบกับสตรีหิมะท่ามกลางพายุหิมะที่อันตราย เธอจะสวมกิโมโนสีขาว และค่อนข้างตัวสูง บ้างก็เล่าว่าเธอสวมกิโมโนสีแดง แล้วรอยเท้าที่เธอเดิน เต็มไปด้วยคราบเลือด บางครั้งเชื่อว่าสตรีหิมะเป็นวิญญาณของหญิงที่ตั้งครรภ์ ที่ตายเพราะพายุหิมะ และเมื่อใครเดินผ่านมาตามทางแล้วพบเห็นเธอเข้า เธอจะยิ้มแล้วยอมให้คนนั้นอุ้มลูก เหยื่อจะไม่สามารถปล่อยลูกของเธอได้เมื่ออุ้มแล้ว และลูกของเธอจะหนักขึ้นและเย็นจนแข็ง ทำให้เหยื่อขยับไปไหนไม่ได้ และจะจมหิมะตาย

ทว่าเรื่องเล่าที่มีชื่อเสียงของสตรีหิมะ เป็นเรื่องที่มีอยู่ว่า ชายตัดฟืน 2 คน คนหนึ่งยังหนุ่ม ส่วนอีกคนค่อนข้างมีอายุ ติดอยู่ท่ามกลางพายุหิมะไม่สามารถกลับได้ จึงต้องหาที่พักซึ่งเป็นกระท่อมร้างเพื่อหลบหิมะก่อน เมื่อทั้งคู่หลับลง กลางดึกนั้นมีเพียงชายคนที่อายุน้อยกว่ากึ่งหลับกึ่งตื่น เห็นผู้หญิงที่สวมกิโมโนสีขาว หน้าตาซีดเผือก และมีแววตาที่น่ากลัว เป่าลมหายใจใส่ชายคนที่มีอายุกว่า ชายคนที่อายุน้อยกว่าตกใจมากจนพูดไม่ออก แล้วสตรีหิมะก็เข้ามากระซิบว่าเธอจะไว้ชีวิตเขา ตราบเท่าที่เขาไม่แพร่งพรายเรื่องของเธอให้ใครรู้ แล้วสตรีหิมะก็หายตัวไป เขาพบว่าชายคนที่สูงวัยกว่าได้แข็งตายไปแล้ว

หลังจากนั้น 1 ปีให้หลัง เขาได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ค่อนข้างสูง หน้าตาซีดเผือด แต่เป็นผู้หญิงที่หน้าตาดี เขาตัดสินใจแต่งงานและอยู่กินกับเธอ ถึงแม้ว่าเธอจะมีลูกกับเขาถึง 10 คน แต่ความงามของเธอไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยซักนิดเดียว วันหนึ่งสามีก็เกิดหลุดปาก เล่าเรื่องสตรีหิมะออกมาให้เธอฟัง เมื่อเธอได้ยิน เธอก็คืนร่างกลับเป็นสตรีหิมะตนเดิม ตนเดียวกับที่สามีเคยเจอ ด้วยความเป็นมนุษย์ ฝ่ายสามีเกิดหวาดกลัวภรรยา แต่เพราะว่าเธอเห็นแก่ลูกๆ จึงไว้ชีวิตสามีแล้วหายตัวไป หลังจากนั้นก็ไม่มีใครได้พบกับสตรีหิมะนางนั้นอีกเลย

ส่วนใหญ่แล้ว เรื่องเล่าของ ยุกิอนนะ จะปรากฏในทางตอนเหนือของเกาะญี่ปุ่นเสียเป็นส่วนมาก ไม่ว่าจะเป็นทางแถบฮอกไกโด หรือทางแถบจังหวัดอิวาเทะ เนื่องจากทางตอนเหนือของญี่ปุ่นจะมีอากาศหนาวเย็น และมีหิมะปกคลุมอยู่เกือบตลอดทั้งปี จึงมีเรื่องเล่าขานของยูกิอนนะ มากกว่าท้องที่อื่นๆ

สาวคอยาวろくろ首 • ろくろくびสามารถยืดคอได้ยาวมาก

โรคุโรคุบิ (「ろくろ首」 Rokurokubi?) หรือ สาวคอยาว เป็นเรื่องเล่าที่เกี่ยวกับ มนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่แต่ต้องคำสาปหรืออาถรรพ์ เมื่อตกกลางคืนจะยืดคอออกไปได้ยาวมาก มักจะเป็นเฉพาะในผู้หญิง มีพฤติกรรมที่จะเป็นอันตรายต่อมนุษย์ สาวคอยาวจะดูดพลังของเหยื่อที่เป็นทั้งคนและสัตว์ และจะใช้ลิ้นเลียเพื่อดับไฟตะเกียง ซึ่งสาวคอยาวนั้นมักจะ เป็นผู้หญิงที่ต้องพบกับรักที่ผิดหวัง เพราะว่าเมื่อสามีมาพบว่าภรรยาตนเป็นสาวคอยาว มักจะหนีไปด้วยความหวาดกลัว

ส่วนมากสาวคอยาวมักจะแฝงตัวอยู่กับคนธรรมดาได้ แต่ต้องทุกข์ทรมาณกับการพยายาม ซ่อนร่างจริงของตัวเอง ถึงแม้ว่าสาวคอยาวพยายามปิดบังร่างจริง แต่ความที่เป็นผีทำให้มีความรู้สึกที่จำเป็นจะต้อง แสดงร่างคอยาวออกมาเสมอๆ สาวคอยาวจึงมักจะแสดงร่างจริงออกมาต่อหน้าพวกขี้เมา หรือพวกงี่เง่าเท่านั้น

สาวคอยาวไม่มีนิสัยชอบหลอกคนเหมือนผีร้ายอื่นๆ เพราะยังมีความเป็นมนุษย์อยู่มาก ทั้งยังคิดว่าตัวเองสามารถใช้ชีวิตอย่างมนุษย์ปกติได้ บางครั้งอาการคอยาวจึงออกมาตอนหลับเท่านั้น เมื่อตื่นขึ้นมาก็รู้สึกว่าตัวเองปวดคอ และฝันเห็นสถานที่ต่างๆ ในมุมมองที่แปลกๆ

สาวปากฉีกろくろ首 • ろくろくびมีปากฉีกถึงใบหู มักสวมผ้าคลุมหน้า แล้วถามเหยื่อว่าฉันสวยมั๊ย?

สาวปากฉีก หรือ คุชิซาเกะอนนะ (「口裂け女」 Kuchisake onna?) เป็นผีญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงอีกตนหนึ่ง ลักษณะของสาวปากฉีกคือ ปากจะฉีกถึงใบหู เรื่องเล่าของสาวปากฉีกมีทั้งฉบับดั้งเดิมกับฉบับปัจจุบัน ตำนานสาวปากฉีกในสมัยเฮอันเล่ามาว่า มีหญิงสาวที่งดงามยิ่งนัก ไม่เป็นรองใครในแผ่นดิน เป็นภรรยาของซามูไรที่มีชื่อเสียง แต่โชคร้ายที่สามีของเธอ สงสัยว่าเธอจะไปมีชู้ ด้วยความโกรธจึงใช้ดาบคาตานะ ตัดปากของเธอจนฉีกถึงใบหู เพื่อทำลายความงามของเธอ พร้อมทั้งถากถางว่า อย่างนี้แล้วใครจะคิดว่าเธองดงามอีก

สาวปากฉีกเมื่อตายไปจึงกลายเป็นวิญญาณพยาบาท มีพฤติกรรมที่น่ากลัว คือ มักจะยืนอยู่ตรงริมถนน ในช่วงเย็นๆถึงค่ำ ในวันที่หมอกลง และจะสวมผ้าปิดปากไว้ พอใครเดินผ่านมาจะเข้าไปทัก แล้วถามว่า ฉันสวยมั๊ย? ถ้าตอบกลับไปว่าก็สวยนิ แล้วสาวปากฉีกจะถอดผ้าปิดปากออก แล้วถามอีกครั้งว่า แล้วแบบนี้ละ? เหยื่อที่เห็นใบหน้าที่แท้จริงของสาวปากฉีก ถ้าตกใจแล้วพยายามวิ่งหนี สาวปากฉีกจะวิ่งไล่ และหนียังไงก็หนีไม่พ้น สาวปากฉีกจะเล่นงานเหยื่อโดยจะตัดให้ปากฉีกเหมือนเธอ เชื่อกันว่าหากถูกสาวปากฉีกวิ่งไล่ให้โยนขนมหวานชื่อดัง จะดึงความสนใจสาวปากฉีกไปที่อื่นได้ และยังมีเรื่องเล่าต่อเนื่องในการตอบคำถามของเธอครั้งที่สอง หากตอบว่าไม่สวยเธอก็จะวิ่งไล่และเล่นงาน แต่หากตอบว่า ก็ดูปกติดีนี่ ก็สวยดีนี่ สาวปากฉีกจะพอใจและไม่ทำร้ายเหยื่อ แล้วจากไปแต่โดยดี

สาวปากฉีกจะเป็นอันตรายกับมนุษย์หรือไม่ แล้วแต่สถานการณ์ เธอมีความรวดเร็วสูง และใช้มนต์มายาได้เล็กน้อย ชื่นชอบเวลาได้รับคำชม หรือรู้สึกว่าตัวเองสวย เกลียดคนที่พูดโกหก และคนที่กลัวเธอ

อามิคิริ網切り • 網剪 • あみきりภูตตัดตาข่ายหรือ อามิคิริมีลักษณะคล้ายกุ้งผสมกับงู ส่วนมากมีขนาดตัวค่อนข้างเล็ก ในสมัยก่อนตาข่ายดักยุง เป็นสิ่งเดียวที่จะใช้ป้องกันจากยุงในเวลาค่ำคืน ตอนรุ่งเช้าผู้คนจะพบว่าตาข่ายกลับขาดเป็นรู จึงเกิดเป็นเรื่องเล่าของอามิคิริขึ้นมา ซึ่งมันจะมีพฤติกรรมชอบตัดตาข่ายอามิคิริ จัดอยู่ในประเภทพรายน้ำ เป็นภูตที่รักสงบ แต่สร้างความรำคาญให้มนุษย์ในบางครั้ง ไม่เป็นอันตรายกับมนุษย์ ไม่ค่อยชอบให้ใครพบเห็นตัวมันนัก แต่สามารถบินในอากาศได้เหมือนกับว่ายน้ำ เมื่ออยู่ในน้ำมันมักจะตัดตาข่าย หรือแหของขาวประมงที่ขวางทาง อามิคิริชอบอยู่ในน้ำมากกว่าบนบก นอกจากนั้นยังมีเรื่องเล่าที่ว่า มันชอบตัดเสื้อผ้าที่ตากไว้ให้เป็นรูอีกด้วย มักจะพบเรื่องเล่าเกี่ยวกับอามิคิริในน้ำมากกว่าบนบก และมักเกี่ยวข้องกับชาวประมง อามิคิริสามารถว่ายน้ำได้อย่างรวดเร็ว สามารถแปลงกายเพื่อขึ้นบกได้เป็นเวลาสั้นๆ และใช้มนต์มายาได้เล็กน้อย

โอคิคุ番町皿屋敷เป็นผีที่สิงในบ่อน้ำ จะออกมานับจานใบที่ 1 จานใบที่ 2... จนถึงใบที่ 9 แล้วร้องไห้

ผีนับจาน หรือ ซารายาชิกิ (「皿屋敷」 Sarayashiki?) หรือ โอคิคุ เป็นเรื่องเล่าของวิญญาณที่จะออกมาจากบ่อเก็บน้ำ และเริ่มนับจานตั้งแต่ 1 ใบจนถึง 9 ใบ แล้วจะร้องไห้อย่างหัวใจสลาย ซึ่งที่มาก่อนที่โอคิคุจะกลายเป็นผีนั้นมีหลายเรื่องเล่า บางเรื่องกล่าวว่าโอคิคุทำจานของเจ้านายแตก เจ้านายโมโหมากจึงฆ่าโอคิคุทิ้งแล้วเอาศพทิ้งลงบ่อน้ำ

เรื่องเล่าที่มีชื่อเสียงของโอคิคุมีที่มาจาก เธอเป็นสาวใช้ของอาโอยาม่า ผู้ที่หวังจะโค่นล้มอำนาจของเจ้าเมือง โอคิคุบังเอิญไปได้ยินแผนการเข้า เธอจึงไปเล่าให้คนรักของเธอฟัง ซึ่งคนรักของเธอเป็นทหารเจ้าเมือง แผนการของอาโอยาม่าจึงถูกเปิดโปงและล้มเหลวในที่สุด เมื่ออาโอยาม่ารู้ว่าโอคิคุเป็นคนแอบได้ยินเรื่องแผนการ เป็นต้นเหตุทีทำให้แผนล้มเหลว อาโอยาม่าจึงวางแผนจะสังหารเธอซะ อาโอยาม่าจึงใส่ความโอคิคุว่า เธอขโมยจานที่ล้ำค่าไป 1 ใบซึ่งในชุดจานนั้นจะมี 10 ใบด้วยกัน โอคิคุถูกทรมานจนตาย และถูกทิ้งศพลงบ่อน้ำ

บ่อน้ำของโอคิคุสันนิษฐานว่าอยู่ที่ปราสาทฮิเมจิ แต่ก็มีที่อ้างถึงอีกแห่ง คือ บ่อน้ำของสวนในสถานทูตประเทศแคนาดาที่โตเกียว ซึ่งเดิมทีเป็นที่ดินของตระกูลอาโอยาม่า

โดโรทาโบะ泥田坊 • どろたぼう

โดโรทาโบะมีเรื่องเล่ามาว่า เดิมทีวิญญาณตนนี้เคยเป็นชาวนาที่ยากจน แต่ว่าขยันขันแข็ง เกิดอยู่ในยุคข้างยากหมากแพง และมีการเก็บภาษีอย่างไม่เป็นธรรมจากเจ้าเมือง ซึ่งเกษตรกรเหล่านี้ มักต้องแบกภาระทั้งหมด ชาวนาคนนี้พยายามเตรียมดินเพื่อทำการเพาะปลูก เขาไม่สนใจอะไรมากไปกว่าไร่นาของเขา ที่จะเจริญงอกงามได้ดีเพียงใด แต่ว่ายังไม่ทันได้ปลูกเขาก็ล้มป่วย และเสียชีวิตลง ลูกชายของเขาเป้นคนเกียจคร้าน เอาแต่ดื่มเหล้า ไม่ยอมสานต่อการทำไร่นาที่พ่อรักมาก จึงได้ปล่อยทิ้งร้าง จนกระทั่งต้องขายที่ดินไป วิญญาณพ่อที่ตายไปจึงไม่สงบ กลายเป็นโดโรทาโบะ ซึ่งมีร่างกายเป็นโคลน ในวันที่มีแแสงจันทร์ส่อง พวกชาวนาเสียงคร่ำครวญมากจากไร่นาไกลๆ มันเป็นเสียงของโดโรทาโบะต้องการที่ดินอันเป็นที่นักยิ่งของเขาคืน

โคโนกิจีจี้児啼爺 • こなきじじいเรื่องเล่ามีว่า ผีตนนี้จะแปลงเป็นเด็กทารกที่ถูกทิ้งร้องไห้อยู่ที่ข้างทาง เมื่อคนที่เดินผ่านมาเข้ามาอุ้ม จะตกใจเมื่อเห็นใบหน้าเป็นตาแก่ ทั้งยังน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างมาก จนยากที่จะถือไว้ได้ อีกทั้งโดยปกติคนจะตกใจเมื่อเห็นหน้าตา และจะทิ้งลงทันที เมื่อปีศาจทารกเฒ่าตกลงพื้น ก็จะหายไป ทิ้งไว้แต่เสียงหัวเราะ และผู้ที่งุนงงกับเหตุการณ์ที่ได้เจอกับผีตนนี้ บางเรื่องเล่าก็กล่าวว่า หากผู้ใดไม่ตกใจกับใบหน้าของปีศาจทารกเฒ่า และพยายามอุ้มไว้ให้ได้โดยไม่ปล่อยทิ้งลงพื้นสำเร็จ จะได้รับพรพิเศษจากปีศาจทารกเฒ่า
อิทซึมาเด็น以津真天 • いつまでんอิทซึมาเด็น ตำนานมีอยู่ว่า ฤดูใบไม้ร่วงปี 1334 นกประหลาดนี้ก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้ายามค่ำคืน หายใจเป็นไฟและส่งเสียงร่ำไห้อย่างน่าเวทนาว่า kItsumademo! Itsumademo! อีกนานเท่าไหร่ อีกนานเท่าไหร่ ซึ่งสร้างความรำคาญใจ ให้กับผู้ที่ได้ยินเสียงคร่ำครวญนี้ เจ้าเมืองจึงได้สั่งให้นั้กธนูที่แม่นยำ สอยนกประหลาดนี่ลงมาซะ เมื่อนกนี่ถูกยิงตก ปรากฏว่ามันมีลักษณะคล้ายกับคิเมร่า ตัวเป็นงู หน้าเหมือนคน มีเล็บที่แหลมคม มีปีกกว้างประมาณ 5 เมตร ซึ่งช่วงเวลาที่พยนกประหลาดยี้ เป็นช่วงที่กาฬโรคระบาด ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก ศพของผู้ที่ป่วยตายจำนวนมาก ถูกฝังทิ้งไว้ที่กำแพงเมืองรวมๆ กัน ราวกับว่าเป็นขยะ และไม่ได้ทำพิธีกรรมส่งวิญญาณ อีกทั้งยังมีเรื่องเล่าที่ว่า เหล่าผู้ที่อดอยากจนกระทั่งตายไป จะกลายเป็นนกปีศาจคร่ำครวญ ตามล่าผู้ที่ทอดทิ้งตน และร่ำไห้ตลอดเวลาว่า อีกนานเท่าใด อีกนานเท่าใด จะทอดทิ้งเราอีกนานเท่าใด
เท็นโจนาเมะ天井舐め • てんじょうなめเรื่องเล่าของผีชนิดนี้เล่าว่า เท็นโจนาเมะเป็นเป็นผีที่มีลิ้นที่ยาว มีนิสัยชอบเลียคราบ และสิ่งสกปรกที่อยู่ตามฝ้าเพดาน มักจะปรากฏตัวในตอนที่ไม่มีคนอยู่ เป็นผีไม่ชอบให้ใครเห็นตัวที่คล้ายกับอะคานาเมะ จึงไม่ค่อยมีเรื่องเล่าที่ว่ามีคนพบเห็นผีประเภทนี้ แต่สัณนิษฐานว่า เท็นโจนาเมะเป็นผีที่ตัวสูงและมีลิ้นที่ยาว เพราะสามารถเลียได้ถึงเพดาน จึงมีเรื่องเล่าที่ว่ารอยเปื้อนที่ฝ้าเพดาน อาจเป็นรอยที่เท็นโจนาเมะเลียไว้ก็ได้ แต่บางเรื่องเล่าก็ค้านว่า เท็นโจนาเมะเป็นผีที่คอยลดรอยคราบบนเพดานต่างหาก เท็นโจนาเมะไม่ใช่ผีที่น่ากลัว มีเรื่องเล่าที่ว่า มีซามูไรคนหนึ่งสามารถจับเท็นโจนาเมะได้ จึงขังไว้ในปราสาทของเขา เพื่อให้เท็นโจนาเมะทำความสะอาดใยแมงมุม ตามที่สูงๆในปราสาทของตน

สิ่งเท็นโจนาเมะหวาดกลัวมากที่สุดก็คือไฟ จึงมีเรื่องเล่าอีกเรื่องว่าเท็นโจนาเมะจะคอยเลียที่ต่างๆ ตามบ้าน เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีสิ่งใดติดไฟ ถ้ามีแสงสว่างแม้เพียงนิดเดียว เท็นโจนาเมะจะหนีไปทันที

เคระเคระอนนะ倩兮女 • けらけらおんなเรื่องเล่าที่มาของสาวหัวเราะ มีตำนานมาจากสมัยเอโดะ มีหญิงงามคนหนึ่งที่มักจะคอยสร้างเสียงหัวเราะให้กับคนรอบข้าง ทำให้ผู้คนมีความสุขด้วยเสียงหัวเราะ และมุขตลกที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอที่ยากจะมีใครเลียนแบบได้ สาวหัวเราะเมื่อเป็นผี มักจะปปรากฏตัวเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ในที่ใดก็ได้ เพื่อสร้างเสียงหัวเราะให้กับคนที่ได้พบเธอ บางครั้งเธอจะปรากฏตัวในลักษณะที่มีหัวที่โตผิดปกติ แต่ตัวลีบนิดเดียว ซึ่งสาวหัวเราะสามารถปรับเปลี่ยนรูปร่าง ให้มีรูปร่างและขนาดแปลกๆ ได้ตามที่ต้องการ ซึ่งสาวหัวเราะจะทำทุกวิถีทาง เพื่อให้คนที่พบเห็นเธอหัวเราะออกมาให้ได้ สาวหัวเราะมักจะเลือกปรากฏตัวให้คนที่มักไม่มีความสุข หรือไม่เคยเผยรอยยิ้มให้ใครเห็น เพื่อให้กำลังใจคนเหล่านั้น ซึ่งคนที่ได้พบกับสาวหัวเราะ จะจดจำเธอได้ไม่ลืม และทุกครั้งที่เจอเธอ จะไม่มีมุขซ้ำ

เรื่องเล่าอีกเรื่องของสาวหัวเราะ คือ ในยามค่ำคืนผู้คนที่เดินทางในที่เปลี่ยว จะเห็นสาวร่างมหึมา ที่มีเสียงหัวเราะดังก้องกังวาลไปทั่วทั้งแผ่นฟ้า คนที่ตกใจแม้ว่าจะพยายามหนีไปทางไหน เสียงนั้นก็จะตามเข้ามาใกล้ทุกทีๆ

ฟุทาคุชิอนนะ二口女 • ふたくちおんなสาวสองปาก เป็นผู้หญิงที่ต้องคำสาป ทำให้กลายเป็นครึ่งคนครึ่งผี เช่นเดียวกับสาวคอยาว ลักษณะเด่นคือ จะมีปากอยู่ที่ด้านหลังของคออีกหนึ่งปาก กะโหลกจะเปิดออก กลายเป็นปากมีฟันและลิ้น ซึ่งไม่สามารถควบคุมปากด้านหลังนี้ได้ มันจะหาอาหารที่ใกล้ตัวกินเอง โดยใช้เส้นผมที่ยาวของผู้หญิงคนที่ต้องคำสาปนั้นแทนมือ ซึ่งหากมันไม่ได้รับอาการที่เพียงพอ จะสร้างความเจ็บปวดออย่างมาก ให้กับหญิงที่ต้องคำสาปเรื่องเล่าของสาวสองปาก มักจะเล่าว่า เกิดกับแม่เลี้ยงที่ทอดทิ้งลูกเลี้ยง ให้อดตาย ในขณะที่ตัวเองกินดีอยู่ดี วิญญาณของเด็กที่ตายไป จึงกลับมาล้างแค้นแม่เลี้ยงของตน

เรื่องเล่าอีกอย่างที่แตกต่างกัน เล่าว่า คำสาปนี้จะเกิดกับผู้หญิง ที่เปลี่ยนวิธีการกินของตนเองอย่างเฉียบพลัน โดยลดปริมาณอาหารลงอย่างมาก เพราะอยากลดน้ำหนัก พยายามอดสิ่งที่ตัวเองชอบ แต่ว่าร่างกายกลับต้องการมาก จนกลายเป็นว่าตัวเองต้องคำสาป มีปากที่สองที่ควบคุมไม่ได้มาแทน

อาคานาเมะ垢舐 • あかなめเป็นผีที่มีลิ้นยาว ชื่อของอะคานาเมะ อาจมากจากลักษณะตัวของมัน ที่ค่อนข้างเล็ก และมีสีแดง ซึ่ง aka ในภาษาญี่ปุ่น แปลว่าสีแดง เรื่องเล่าของมันมักเล่าว่า ปีศาจตนนี้จะปรากฏตัวที่ห้องน้ำที่สกปรก ถูกทิ้งโดยไท้ได้ทำความสะอาด โดยมันจะใช้ลิ้นเลียสิ่งสกปรกเหล่านั้น จึงมีผู้เล่าว่าในยามค่ำคืนที่ได้ยินเสียงแปลกๆ จากห้องน้ำ บางทีอาจไม่ใช่เสียงของแมลงสาป แต่จะเป็นเสียงของอะคานาเมะก็ได้ สำหรับอะคานามะห้องน้ำจะสกปรกหรือไม่ก็ไม่ใช่ปัญหา แต่อะคานาเมะจะชอบห้องน้ำที่สกปรกมากกว่า ซึ่งอะคานาเมะชอบเลียคราบสกปรกที่พิ้นห้องน้ำมาก มักจะออกมาเลียห้องน้ำตอนที่ผู้คนหลับหมด ถ้ามีใครเข้าไปใกล้ มันจะหนีหายอบ่างรวดเร็ว จึงไม่ง่ายนักที่จะพบเห็นปีศาจประเภทนี้

Sunday, June 1, 2008

how to heal, or cure the snake's poison

ครั้งที่แล้วเราจัดการผู้ป่วยจนกระทั่งเอาตัวไปถึงโรงพยาบาลได้แล้ว วันนี้เรามาต่อกันเรื่องการรักษางูกัดกันต่อครับ
ความรู้เรื่องการรักษานี้ความจริงเป็นสิ่งที่แพทย์รู้ โดยที่ผู้ป่วยและญาติอาจจะไม่ต้องรู้เลยก็ได้ เพราะว่าในที่สุดการรักษาจะตกไปอยู่ตรงจุดของแพทย์ไม่ใช่ญาติหรือผู้ป่วย
แต่ว่าในชีวิตจริง มนุษย์ทุกคนมีความไม่มั่นใจในเรื่องที่เป็นเรื่องคอขาดบาดตายอยู่แล้ว ทำให้หลายครั้งหลายคราวเวลาแพทย์รักษาผู้ป่วยตามหลักทางการแพทย์แต่ว่าไม่ตรงใจผู้ป่วยหรือญาติก็จะเกิดปัญหาความขัดแย้งตามมา
ดังนั้นหัวข้อต่อจากนี้จะเน้นเรื่องของงูกัดและการรักษาที่เกี่ยวข้องครับ เพื่อที่ว่าหากต่อไปเกิดมีใครในที่นี้ไปโดนงูกัด จะได้เข้าใจและไม่ต้องตกใจกับการรักษา

เมื่อไปถึงโรงพยาบาล
เมื่อถูกงูกัดแล้วไปที่โรงพยาบาล อย่างแรกเลยที่จะโดนถามคือโดนอะไรมาหรือโดนอะไรกัด จากนั้นเมื่อได้ข้อมูลแล้วว่าโดนอะไรกัด(หรือไม่รู้ว่าโดนอะไรกัดก็ตาม) ก็จะเข้าสู่กระบวนการรักษา
- ถ้าคุณรู้ว่าเป็นงู แต่ไม่รู้ว่าเป็นงูอะไร หรือมีรอยเขี้ยวและฟันแต่ไม่รู้โดนตัวอะไรกัด แพทย์ก็จะให้นอนสังเกตอาการ เพื่อดูว่าถ้ามีอาการของพิษ พิษนั้นเป็นพิษจากงูในกลุ่มใด
- ถ้าคุณเห็นตัวงูชัดเจน รู้จักชนิดงูดี แพทย์ก็เลือกการรักษาไปตามชนิดของงูเลย เตรียมเซรุ่มของงูชนิดนั้นเอาไว้ และเฝ้าดูอาการจากพิษงู ระวังอาการอื่นๆข้างเคียงของพิษงูชนิดนั้นๆ รวมทั้งเผ้าระวังอาการอื่นๆเผื่อไว้ว่าคุณดูชนิดงูผิด
- ถ้าเห็นว่าไม่ใช่รอยจากงูหรือว่าเห็นตัวว่าไม่ใช่งู ก็รักษาแล้วกลับบ้าน

โดยมากแล้วหากไม่มั่นใจในเรื่องชนิดของงูที่มากัด แพทย์ก็จะรักษาแบบครอบคลุมไว้ก่อนโดย
- เฝ้าระวังอาการชนิดจำเพาะของพิษงู - ได้แก่อาการทางระบบประสาท ระบบเลือด หรือ ระบบกล้ามเนื้อ เพื่อจะได้ระวังอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นและสามารถจำกัดวงของการใช้เซรุ่มได้
- เผ้าระวังอาการที่ไม่จำเพาะของพิษงู - ได้แก่อาการบวม ปวด แผลเนื้อเน่าตาย ความดันเลือดต่ำ หัวใจทำงานผิดปกติ การขาดเลือดของอวัยวะส่วนปลาย เพื่อจะได้รักษาก่อนที่จะรุนแรงไปยิ่งกว่าเดิม
ส่วนการรู้ว่างูที่กัดเป็นงูอะไร(หรือจับงูมาได้แล้วดูออก) จะมีส่วนช่วยได้บ้างครับ คือทำให้การรักษานั้นแคบขึ้นคือ
- เฝ้าระวังอาการชนิดจำเพาะของพิษงู - ตามชนิดของงูนั้นๆ
- เฝ้าระวังอาการที่ไม่จำเพาะของพิษงู - เหมือนข้างบน
สังเกตนะครับว่าต่อให้รู้ว่างูที่กัดเป็นงูอะไร ก็ต้องเฝ้าระวังอาการต่ออยู่ดี ไม่ได้ทีการให้เซรุ่มแก้พิษงูทันที

[snake201]



เรื่องที่ว่าโดนตัวอะไรกัดมากันแน่ตรงนี้ต้องตอบตามจริงครับ มีความสำคัญในการรักษามาก
เพราะตามหลักในการรักษาเรื่องงูกัด แพทย์จะมุ่งรักษาชีวิตไว้ก่อน จากนั้นรักษาอวัยวะ และท้ายที่สุดคือการรักษาอาการ ส่วนถ้าเป็นสัตว์อื่นที่ไม่ถึงตายกัด แพทย์จะตั้งเป้าการรักษาไว้ที่รักษาอวัยวะ(ถ้าดูรุนแรง)และรักษาอาการ
ยกตัวอย่างครับ

- ถ้าถูกงูไม่ทราบชนิดกัด แพทย์จะไม่ให้ยาแก้ปวดอย่างแรง เพราะว่ายาแก้ปวดมีฤทธิ์กดประสาทอาจจะสับสนกับพิษงูเห่า / แพทย์จะไม่ฉีดยาชารอบแผล เพราะอาจจะทำให้เลือดออกถ้าเป็นพวกงูเขียวกัด / แพทย์จะไม่ให้ประคบเย็นรอบแผล เพราะในบางรายอาจจะเสี่ยงต่อการเกิดเนื้อเยื่อขาดเลือดจนเน่าได้
- ถ้าโดนตะขาบกัด มารพ.เพราะปวดมาก แพทย์ก็จะให้ยาแก้ปวด ให้ฉีดยาชารอบแผล และอาจจะให้ประคบเย็นบรรเทาปวด ... เพราะพิษตะขาบมักไม่ถึงตาย และมักไม่ทำให้เกิดการเน่าตายของอวัยะวที่โดนกัด

- ทีนี้ผู้ป่วยบางรายที่โดนตะขาบกัด แต่ไปบอกว่าโดนงูกัดเพราะเชื่อว่าจะได้รับการดูแลที่ดีกว่า ... ผลก็คือแทนที่จะหายปวด กลับต้องทนปวดยิ่งกว่าเดิม

ภาพข้างล่างนี่เป็นภาพตะขาบกัด เป็นภาพจากญี่ปุ่นครับ ... ถ้าไม่บอกว่าอะไรกัดก็อาจจะต้องระวังว่าเป็นงูพิษต่อระบบเลือดกัด เพราะมีรอยเขี้ยวและบวมได้

[snake202]

การรักษาอาการชนิดไม่จำเพาะของพิษงู
อาการที่ไม่จำเพาะของพิษงู เกิดจากเอนไซม์ที่ย่อยโปรตีน และสารเคมีที่ออกฤทธิ์ต่อระบบภูมิคุ้มกันและหลอดเลือด
ผลโดยรวมของสารเหล่านี้จะทำให้เกิดอาการบวมของเนื้อเยื่อในบริเวณดังกล่าว และอาจจะเกิดการขาดเลือดได้จนเกิดการเน่าตายในภายหลัง
ดังนั้นการรักษาผู้ป่วยที่โดนงูกัดในขั้นแรกก็คือ การตรวจดูสัญญาณชีพ (วัดชีพจร ความดันเลือด ความรู้สติ) เมื่อดูว่ายังไม่เกิดอันตราย ขั้นต่อไปก็คือการคลายการผูกรัดบริเวณอวัยวะที่โดยรัดนั้นไว้ เพื่อให้พิษไม่คั่ง , และไม่ให้อวัยวะส่วนนั้นขาดเลือดจนกระทั่งเสียหายมากกว่าที่ควร
อันดับต่อไปคือการดูว่ามีการบวมหรือไม่ ... ในกรณีที่บวมไม่มาก ก็ให้รักษาไปตามอาการ
แต่ในกรณีที่บวมมาก เนื้อที่บวมจะบวมไปกดเส้นเลือดจนอาจจะเกิดการขาดเลือดได้
พอดีหารูปบวมมากๆที่ไม่น่ากลัวหรือไม่เน่าไม่เจอ ... เอาแบบบวมพอประมาณไปดูแทนแล้วกันครับ

[snake203]

ในกรณีที่มีการตายของเนื้อเยื่อเกิดขึ้น แพทย์ก็จะจัดการผ่าตัดเอาเนื้อส่วนที่ตายนั้นทิ้งไปครับ เพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำซ้อน / เอาส่วนที่มีสารพิษจากพิษงูออก / เปิดพื้นที่ให้เนื้อเยื่อใหม่ได้เติบโตขึ้นมา

หรือในกรณีที่มีอาการบวมมากจนแพทย์ประเมินพบว่าอาจจะส่งผลทำให้อวัยวะส่วนปลายเกิดการขาดเลือด แพทย์จะทำการรักษาด้วยวิธีการที่เรียกว่าFasciotomy ซึ่งเป็นการผ่าผิวหนังและปลอกกล้ามเนื้อ เพื่อให้เนื้อเยื่อที่บวมจากพิษได้ขยายตัวออกโดยไม่ไปกดทับเส้นเลือด

อันนี้ภาพแบบน่ากลัวจากของจริง ... ไม่ค่อยน่าดูเท่าไหร่
http://www.rattlesnakebite.org/rattlesnakepics.htm

ส่วนอันล่างนี้เป็นแบบภาพวาดครับ เป็นตำแหน่งที่จำกรีดเพื่อให้เนื้อที่บวมได้มีที่ขยาย จะได้ไม่ไปกดทับเส้นเลือดจนอวัยวะเสียไป

[snake204]



การรักษาอาการจำเพาะของพิษงู
อาการจำเพาะที่ว่าได้แก่อาการเรื่องกล้ามเนื้อถูกทำลาย อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงไม่ทำงานหรือหยุดหายใจ อาการเลือดออกผิดปกติ
การรักษาแบ่งเป็นสองส่วน
ส่วนแรกคือการรักษาตามอาการของพิษงูนั้นๆ
- หากไม่สามารถหายใจได้(งูเห่า) ก็ให้ใส่ท่อช่วยหายใจ
- หากมีอาการของเลือดออก (งูแมวเซา กะปะ งูเขียว) ก็ระวังเรื่องเกร็ดเลือดและการแข็งตัวผิดปกติของเลือด อาจจะต้องให้เลือดหรือยาช่วยการแข็งตัวของเลือด
ส่วนที่สองคือ การรักษาด้วยการให้เซรุ่มเพื่อจัดการกับพิษส่วนที่ยังจะก่อเรื่องต่อไปไม่ให้ออกฤทธิ์ได้เต็มที่
คำถามที่ตามมาคือ แล้วเซรุ่มล่ะ ให้ไปก่อนได้ไหม ให้ในทุกรายเลยได้หรือไม่ โดยไม่ต้องรอให้เกิดเรื่องหรืออาการ

ดังนั้นเรามาต่อด้วยเรื่องเซรุ่ม
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเซรุ่มก็คือ
1. ถูกสร้างขึ้นมาจากม้า โดยการฉีดพิษงูเข้าไปในตัวม้า จากนั้นเอาเลือดม้าที่มีภูมิต้านทานออกมาทำเซรุ่ม **ดังนั้นเซรุ่มนี้ทำจากเลือดม้า**
2. เพราะทำจากม้า การสร้างใช้เวลา จำนวนมีจำกัด
3. เพราะทำจากเลือดม้า ดังนั้นมีโอกาสแพ้ได้
4. ใช้เพื่อแก้พิษของงูได้ตามแต่ชนิดเท่านั้น เซรุ่มงูอะไรก็แก้ได้แค่งูนั้น
5. ใช้แก้พิษได้แค่บางชนิด ไม่ใช่ยาวิเศษที่ฉีดแล้วหาย รักษาอาการอันเกิดจากพิษแบบไม่จำเพาะของพิษงูไม่ได้
6. เซรุ่มแก้อาการที่เกิดจากพิษแบบไม่จำเพาะไม่ได้ ดังนั้นแก้อาการขาดเลือด อาการเนื้อเน่าตายไม่ได้

มีไม่น้อยที่เวลาผู้ป่วยไปที่โรงพยาบาลแล้วต้องการให้ฉีดเซรุ่มทันที แต่แพทย์จะไม่ฉีดให้ ซึ่งตรงนี้เป็นจุดที่ก่อความขัดแย้งบ่อยครั้งจนหลายๆครั้งทำให้เกิดการร้องเรียนตามมา
เหตุผลที่ไม่ฉีดเซรุ่มให้ตั้งแต่แรก
อย่างที่เคยบอกไปเมื่อนานมาแล้ว (มีlinkในกระทู้แรก) ว่างูที่กัดคน เป็นงูไม่มีพิษซะมาก ... งูพิษมีน้อย และงูพิษที่กัดคน ส่วนใหญ่ก็กัดแบบ Dry Biteซะมาก คือกัดแล้วไม่ได้ปล่อยพิษ ดังนั้นการฉีดเซรุ่มจึงไม่ได้จำเป็ฯนัก เพราะบางคนอาจจะไม่ได้พิษ ซึ่งพอชั่งน้ำหนักแล้ว จะเกิดความเสี่ยงจากการฉีดเซรุ่ม มากกว่าผลที่จะเกิดจากพิษงูเสียอีก
และเนื่องจากมันทำมาจากเลือดม้า โอกาสที่จะเกิดอาการแพ้ก็มี อย่างเช่นเซรุ่มงูเห่า จะมีอาการแพ้หลังจากฉีดเข้าไป 10 % อาการแพ้ถ้าเป็นน้อยๆก็ไม่มีอะไร แต่ถ้าแพ้มากๆก็ถึงกับตายได้
...
หรือบางคนที่อาจจะอ่านมากหน่อยจะทราบว่าปัจจุบัน เซรุ่มของงูอื่นๆมักจะไม่ค่อยแพ้กันแล้ว ... จะฉีดเลยได้ไหมโดยไม่ต้องรอให้มีอาการ
คำตอบก็คือ ไม่ควรอีก เพราะว่าของพวกนี้มีจำนวนจำกัด ถ้าไปฉีดในกรณีที่ไม่มีความจำเป็นเลยเพียงเพื่อทำให้คนที่ถูกกัดสบายใจ เดี๋ยวถึงเวลาที่จำเป็นจริงๆก็จะไม่มีให้ใช้

ลองมาดูว่าตามหลักวิชาการแล้ว เซรุ่มแก้พิษงูมีข้อควรรู้อะไร
อันนี้ของงูกลุ่มที่กดระบบประสาท ได้แก่งูเห่า งูจงอาง งูทับสมิงคลา

[snake205]

จะเห็นข้อที่ระบุไว้ในนั้นว่า ไม่สามารถป้องกันภาวะrespiratory failure ซึ่งหมายความว่าถ้าคนๆนั้นได้พิษไปมากพอ ต่อให้ให้เซรุ่มก็ไม่ได้ช่วยเรื่องการหยุดหายใจ
ถ้าจะหยุดหายใจ ให้เซรุ่มไปก็หยุดหายใจได้อยู่ดี
และอันนี้ก็คือข้อบ่งชี้ของกลุ่มงูที่มีพิษต่อระบบเลือดครับ เวลาให้ก็ดูเรื่องความผิดปกติของเลือดเป็นหลัก

[snake206]

สองรูปหลังคือรูปของเกณฑ์ตามมาตรฐานที่แพทย์ใช้ก่อนจะให้เซรุ่มครับ เป็นเกณฑ์ที่สร้างมาเพื่อให้แพทย์มีหลักในการตัดสินใจได้โดยพิจารณาในแง่ ความปลอดภัย/ความเสี่ยงที่อาจจะมีจากการรักษา/และความคุ้มค่าในทรัพยากรที่มีจำกัด
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อชั่งน้ำหนักและประกอบกับหลายๆปัจจัย แพทย์อาจจะให้เซรุ่มแก้พิษงูไม่ตรงจากนี้ได้ครับ ... ตัวอย่างง่ายๆคือ ในรายที่ไม่มีอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อเลย หรือเจาะเลือดแล้วปกติ แต่มีอาการบางข้อที่บ่งชี้ว่างูปล่อยพิษออกมาจริงและปล่อยพิษมาก แพทย์ก็อาจจะตัดสินใจให้ไปก่อน
ถ้าสงสัยหรือไม่แน่ใจในการให้เซรุ่มของแพทย์ แนะนำว่าให้ถามเหตุผลจากแพทย์ได้ครับ ว่าทำไมถึงให้หรือทำไมถึงไม่ให้

โดยสรุปแล้ว เรื่องเซรุ่ม ผมมีสิ่งที่อยากสรุปไว้ก็คือ
1. คนส่วนใหญ่เชื่อว่าคนที่ถูกงูกัดควรต้องได้เซรุ่ม
2. ความจริง งูกัดส่วนน้อยเท่านั้นที่จะเกิดอาการของพิษ และก็น้อยที่จะจำเป็นต้องให้เซรุ่ม
3. คนส่วนใหญ่เชื่อว่าเซรุ่มเป็นยาที่เมื่อได้แล้วจะทำให้อาการจากพิษงูหายสลายไปสิ้น
4. ความจริง เซรุ่ม ไม่ใช่ยาวิเศษ จัดการอาการจากพิษงูได้ไม่ทั้งหมด โดยจัดการได้แค่ภาวะที่อันตรายถึงตายแค่บางภาวะเท่านั้น
5. เซรุ่มไม่สามารถแก้อาการที่เกิดจากพิษงูที่เกิดก่อนการให้เซรุ่มไม่ได้ (เช่นถ้าหากเกิดเลือดออกในสมองจากพิษงูไปแล้ว ให้ไปก็ไม่ได้ช่วยตรงนี้ได้)
6. เซรุ่มไม่สามารถแก้ไขภาวะเนื้อเยื่อตายที่เกิดจากการถูกงูกัดได้ เรื่องดังกล่าวขึ้นกับการปฐมพยาบาลจากที่เกิดเหตุประกอบกับสภาพอื่นๆ
7. เซรุ่มงูเห่างูจงอาง ต่อให้ให้อย่างถูกต้อง ก็ไม่สามารถห้ามไม่ให้เกิดการหยุดหายใจได้ ... ทำได้แค่ถ่วงเวลาไว้เท่านั้น
8. เซรุ่มไม่ได้ปลอดภัย100% โอกาสที่จะเกิดผลข้างเคียงรุนแรงหรือแพ้เซรุ่มก็ยังมีสูง

ต่อจากเรื่องเซรุ่มเรามาดูเรื่องอื่นๆอีก

รอยกัด ใช้ในการแยกว่าเป็นงูพิษหรือไม่มีพิษได้หรือไม่
ในการเรียนสมัยเป็นนักศึกษาแพทย์ หรือในวิชาสุขศึกษาพื้นฐานต่างบอกวิธีการดูรอยงูกัดว่าสามารถใช้ในการแยกงูพิษและงูไม่มีพิษได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้องครับ
แต่ทีนี้มีคำถามตามมาว่า ถ้าเราดูเป็นก็ไม่ต้องมารพ.ก็ได้ใช่ไหม
คำตอบคือไม่ครับ...ยังไงก็ควรจะมารพ.อยู่ดี
ถามว่าทำไมต้องมารพ.ในเมื่อรอยที่เห็นเป็นรอยของงูไม่มีพิษ คำตอบให้ดูภาพประกอบด้วยครับ
ที่เราเรียนๆกันมา รอยงูไม่มีพิษกัดจะเห็นเป็นรอยฟันโดยที่ไม่เห็นรอยเขี้ยว ส่วนรอยงูมีพิษกัด มักจะเป็นเขี้ยวสองรู
นั่นคือความรู้ที่เป็นจริงสำหรับการกัดแบบจังๆชัดๆครับ แต่ก็มีข้อยกเว้นอยู่
ข้อแรก -- งูบางชนิดเป็นงูชนิดที่พับเขี้ยวได้ เวลากัดเสร็จแม้ไม่มีรอยเขี้ยว แต่พิษก็ซึมเข้าไปในแผลที่โดนฟันธรรมดากัดได้
ข้อสอง -- เวลาคนโดนงูกัดแบบเห็นตัวมักจะชักส่วนที่โดนกัดหนี ทำให้เกิดแผลที่ดูยาก ... บางครั้งแผลก็ไม่สามารถแยกได้ว่าเกิดจากงูพวกใด
ข้อสามและเป็นข้อที่สำคัญที่สุด -- เจอรอยฟัน ไม่ได้แปลว่างูไม่มีพิษ ... ความเข้าใจผิดที่รุนแรงของหลายๆคนคือ หากเจอรอยฟันเป็นแถวแปลว่าไม่ใช่งูพิษ ... แต่ถ้าลองดูรูปประกอบจะเห็นนะครับว่างูที่มีพิษก็มีรอยฟันได้ โดยมีรอยเขี้ยวเพิ่มขึ้นมาสองรอย
เจอหลายครั้งเหมือนกันที่คนไข้มาด้วยรอยแผลเป็นรูปฟันแล้วก็บอกว่าถูกงูไม่มีพิษกัด แต่เมื่อตรวจไปดีๆก็พบว่ามีรอยเขี้ยวอีกสองรูเล็กๆซึ่งถ้าไม่ตรวจดูใกล้ๆก็จะมองไม่เห็น

[snake209]

ดังนั้นถ้าจะให้ดีก็ไปที่รพ.ดีกว่าครับ ดูแผลนั้นพอใช้ได้ แต่ไม่ชัวร์
คำถามต่อไป

เซรุ่มรวมคืออะไร ใช้ไปเลยได้ไหม
เนื่องจากปกติแล้วการโดนงูกัดมักจะไม่มีตัวงูมาที่โรงพยาบาล ประกอบกับโดยทั่วไปแพทย์จะไม่ให้เซรุ่มหากไม่มีข้อบ่งชี้ ... เหล่านี้ประกอบกันทำให้หลายคนตีความไปว่าแพทย์ไม่ได้ให้เซรุ่มเพราะไม่เห็นตัวงู พาลทำให้คิดไปว่าในเมื่อไม่รู้ว่าเป็นงูอะไรก็ควรให้เซรุ่มชนิดรวมแทน
จริงๆแล้วการจะให้เซรุ่มชนิดรวมก็มีข้อบ่งชี้เหมือนๆกันกับการให้เซรุ่มธรรมดานั่นคือให้เมื่อมีอาการของพิษงูเท่านั้น
ทีนี้ถ้าเรารู้ว่าเป็นงูเห่ากัด ก็ให้เซรุ่มงูเห่า
ถ้าเป็นงูแมวเซากัด ก็ให้เซรุ่มงูแมวเซา
แล้วเซรุ่มชนิดรวมจะให้เมื่อไหร่ล่ะ

เซรุ่มชนิดรวมที่มีในปัจจุบัน(เท่าที่ทราบ)มีสองแบบ
- ชนิดที่แบ่งตามประเภทของอาการ เช่นผสมเซรุ่มงูเห่า/จงอาง/ทับสมิงคลา ในหลอดเดียวกัน หรือเซรุ่มงูระบบเลือด (Viper antivenom)
- ชนิดที่แบ่งตามงูที่มีชุกในพื้นที่นั้นๆ เช่นผสมเซรุ่มงูเห่างูแมวเซางูทับสมิงคลา อยู่ในหลอดเดียวกัน

การใช้ในแบบที่แรก ใช้ตามอาการที่ปรากฏ เช่นคนไข้รู้ตัวดีแต่มีภาวะเลือดออก ก็ใช้เซรุ่มรวมด้านระบบเลือด ... หรือคนไข้ไม่รู้ตัว หายใจไม่ได้ ก็ให้เซรุ่มกลุ่มระบบประสาท
การใช้ในแบบที่สอง ใช้เมื่อไม่รู้จะให้อะไร .... เพราะอาการมันคาบเกี่ยวกัน
อย่างเช่น คนไข้มารพ. หัวใจเต้นไม่ดี ไม่รู้สึกตัว แขนบวมพอง
- อาจจะเป็นพิษงูแมวเซา ซึ่งมีพิษต่อหัวใจหัวใจ และทำให้เนื้อที่โดนกัดพุพอง
- อาจจะเป็นพิษงูเห่า ซึ่งมีฤทธิ์ทำลายเนื้อเยื่อ และทำให้หายใจไม่ได้
ในช่วงฉุกเฉินที่ยังไม่รู้ว่าเกิดจากพิษอะไร ก็ต้องให้แบบรวมไปก่อนครับ
แต่ถ้าเลือกได้ ใช้แบบเดี่ยวดีที่สุด เพราะว่าขึ้นชื่อว่าแบบรวม ก็จะได้เซรุ่มตัวที่ถุกต้องน้อยกว่าที่ควรได้อยู่ครึ่งนึง(เพราะก็ต้องไปเอาเซรุ่มเดี่ยวๆมาผสมเข้าด้วยกัน)


และบางคนที่อาจจะสงสัยว่าแล้วให้เซรุ่มอัดเข้าไปทุกตัวไปเลยไม่ได้หรือ ก็ต้องบอกว่าไม่ได้ครับ เพราะลำพังแค่เซรุ่มตัวเดียว ก็อาจจะเกิดอาการแพ้ได้แล้ว ... หากให้พร้อมกันหลายตัวก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะถึงแก่ชีวิตจากเซรุ่มก่อนพิษงูซะอีก
Note ผมยังไม่เคยเห็นเซรุ่มชนิดรวมด้วยตาตัวเองเลยครับ

สุดท้ายคือคำถามยอดฮิต

โดนงูกัดคอทำอย่างไรดี

[snake and dog]

ดูเผินๆอาจจะไม่มีอะไร แต่ที่เอาภาพดังกล่าวมาให้ดูก็คือเรื่องงูกัดหน้าครับ
เป็นเรื่องที่ดูเหมือนเรื่องตลกครับ กับคำถามว่า ถ้าโดนงูกัดคอจะทำอย่างไรต้องรัดคอไหม ...
ถ้าอ่านมาตั้งแต่ต้นจะทราบว่าการรัดหรือมัดนั้นไม่มีที่ใช้จริง และที่เรารัดหรือทำให้อยู่นิ่งนั้น เราไม่กลัวว่าพิษจะเข้าสู่หัวใจ...ต่อให้เข้าก็ไม่ตายง่ายๆ เรื่องพิษ เรากลัวว่ามันจะกระจายไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็วต่างหาก
ดังนั้นจึงตอบได้อย่างง่ายดายว่า
โดนงูกัดคอ ไม่ต้องรัดคอครับ

จากภาพ เป็นภาพสุนัขที่โดนงูกัดที่หน้าครับ จะเห็นว่าหน้าบวมเหมือนยิ้ม
...
ดูตลก แต่ว่าถึงตายได้ครับ

การโดนงูกัดที่บริเวณใบหน้าและลำคอ ความอันตรายอยู่ที่การบวมครับ
ถ้าโดนกัดที่ใบหน้า ลิ้นและช่องปากอาจจะบวมจนอุดทางเดินหายใจจนตายได้
ถ้าโดนกัดที่คอ ส่วนคอด้านในอาจจะบวมจนกดทางเดินหายใจได้เหมือนกัน

ดังนั้นหากโดนกัดที่หน้าหรือคอ อย่ารอช้าครับ! ให้รีบไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันที
เพราะถ้าหากบวมขึ้นมา แม้พิษงูจะไม่รุนแรงจนถึงกับต้องให้เซรุ่ม แต่ก็ถึงตายได้ครับ!

ภาพสุนัขนำมาจาก http://www.davidbessler.com/wordpress/?p=58
ในเว็บดังกล่าวมีรูปหน้าสุนัขที่เป็นปกติให้ดูด้วย

เรื่องงู แม้จะผ่านไปกี่ปี คนที่เข้าใจผิดก็ยังมีอีกมาก ความเข้าใจก็ยังไม่ตรงกัน ... ความเชื่อแปลกๆก็มีเยอะ

ต่อไปต้องได้คุยกันอีกแน่ๆครับ